ข้อมูลสินค้า
คำนำสำนักพิมพ์
คำนำผู้เขียน
บทที่ 1 คว่ำปฏิวัติ–โค่นคณะราษฎร : การก่อตัวของ“ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
บทที่ 2 “ความชอบด้วยระบอบ” : วิวาทะว่าด้วย “รัฏฐาธิปัตย์”ในคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญ (2475-2500)
บทที่ 3 กำเนิดระบอบประชาธิปไตยแบบอำนาจจำกัด : ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยไทย (2475-2490)
บทที่ 4 ฝันจริงของนักอุดมคติ “น้ำเงินแท้” :รื้อ 2475 สร้างระบอบกลายพันธุ์
บทที่ 5 อ่านปทานุกรมของสอ เสถบุตร ในฐานะวรรณกรรมการเมือง
บทที่ 6 โหรกับการโต้ปฏิวัติ 2475 : แฉล้ม เลี่ยมเพ็ชรรัตน์กับ 76 เทพการเมือง
บทที่ 7 วิวาทะเค้าโครงการเศรษฐกิจกับบันทึกพระบรมราชวินิจฉัย และการเมืองของการผลิต
บทที่ 8 พระบารมีปกเกล้าฯ ใต้เงาอินทรี : แผนสงครามจิตวิทยาอเมริกันกับการสร้างสถาบันกษัตริย์ให้เป็น “สัญลักษณ์” แห่งชาติ
ประวัติผู้เขียน
ประวัติการตีพิมพ์
บรรณานุกรม
ดรรชนี
ท่านสุภาพบุรุษผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าซื่อสัตย์สุจริตและมีเกียรติยศ แต่ท่านได้เอาความยุ่งเหยิงมาสถิตแทนความเป็นระเบียบ เอาความแตกก๊กแตกเหล่ามาแทนความสามัคคี รัฐบาลปัจจุบันนี้อ้างว่าได้จัดตั้งขึ้นโดยคณะราษฎร และเพื่อราษฎร ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงท่านก็อาจมีอำนาจที่จะบังคับรัฐบาลให้บริหารในทางที่เป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลายร่วมกัน และมิใช่เพื่อประโยชน์ของรัฐมนตรีและพวกพ้องของรัฐมนตรีเท่านั้น มิฉะนั้นเราก็ต้องเปลี่ยนรัฐบาลเสียใหม่…
คำปราศรัยข้างต้น เป็นถ้อยคำของ “รุ้ง” ในเช้าวันที่ 11 ตุลาคม 2476 ซึ่งปลุกหัวใจชาวโคราชให้ลุกเป็นไฟกระทั่งพากันไปลงชื่อเข้าร่วมก่อ “กบฏบวรเดช” อันเป็นเหตุให้ “รุ้ง” ต้องเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นนักโทษการเมือง ณ แดนหก บางขวาง ในเวลาต่อมา
เป็น “รุ้ง” ผู้ถ่ายทอดความคิดจิตใจและอัตชีวประวัติของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน ผ่านนิยายเรื่อง ความฝันของนักอุดมคติ หรือ เมืองนิมิตร ซึ่งชัยอนันต์ สมุทวณิช ปัญญาชนผู้มีอิทธิพลต่อวงวิชาการรัฐศาสตร์ไทยมานาน กล่าวไว้ว่า คือ หนึ่งในสิ่งดีงาม เพียงสองอย่างที่ “คณะราษฎร” มีส่วนช่วยสร้างขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ทั้งนี้ ชัยอนันต์ย้ำอีกครั้งในการปาฐกถาวาระครบรอบ 100 ปี ม.ร.ว.นิมิตรมงคล ว่าคณะราษฎรแท้จริงแล้วไม่ใช่ราษฎร ไม่มีความสัมพันธ์กับราษฎร และซ้ำยังเป็นต้นเหตุ ที่ก่อปัญหาการพัฒนาสถาบันทางการเมืองของไทย
นิยายที่เล่าผ่าน “รุ้ง” เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” และข้อเสนอทาง “วิชาการ” อย่างของชัยอนันต์ ล้วนเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการที่ณัฐพล ใจจริงเรียกว่า “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ 2475” อันมีสถาบันกษัตริย์เป็นแกนกลางและแวดล้อมด้วยพระราชวงศ์ชั้นสูง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ องคมนตรี เจ้านักการเมือง นักการเมืองนิยมเจ้า นักกฎหมายสำนักจารีตประเพณี นักหนังสือพิมพ์กษัตริย์นิยม และปัญญาชนรอยัลลิสต์ เป็นต้น
การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพวกเขามีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดทางการเมืองของผู้คนสืบเนื่องมาหลายทศวรรษ ทำให้ความเข้าใจต่อปัญหาการเมืองไทยบิดเบี้ยวกลับหัวกลับหางไป ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ถูกทำให้กลายเป็นผู้ร้ายทางประวัติศาสตร์ซึ่งให้กำเนิดระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ขณะที่กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของระบอบเก่ากลายเป็นบิดาแห่งระบอบประชาธิปไตย แกนนำของพวกเขาจำนวนหนึ่งกลายเป็นแบบอย่างของนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ความเป็นธรรม และสังคมอุดมคติในความรับรู้ของชนรุ่นหลัง
การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่าย “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ 2475” และผลของการเคลื่อนไหวนี้ ไม่ว่าจะผ่านการออกกฎหมาย การให้คำอธิบาย การล้ม และการบัญญัติรัฐธรรมนูญ การใช้กำลังอาวุธ การลอบสังหาร การป้ายสีโจมตี ไปจนถึงการสร้างและผลิตซ้ำ“เรื่องเล่า” ในรูปนิยาย สารคดีการเมือง บันทึก และเอกสารต่างๆ เป็นต้น คือแกนกลางของหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
งานเขียนของณัฐพล ใจจริงที่รวมอยู่ในเล่มนี้นั้น เป็นผลจากการใช้เวลาร่วมทศวรรษรวบรวม “หนังสือเก่า” เกี่ยวกับการเมืองไทยภายหลังการปฏิวัติสยาม และเป็นผลจากการคิดค้น และเขียนขึ้นในบริบททั้งก่อนและหลังการรัฐประหารเพื่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นับตั้งแต่ยุคต้นของรัฐบาลไทยรักไทยถึงยุคการเคลื่อนไหว “เราจะสู้เพื่อในหลวง” กระทั่งเกิดปฏิกิริยา “ตาสว่าง” ต่อมาภายหลัง จนส่งผลให้เกิดข้อสงสัยและความสนใจใคร่รู้ในเรื่องสถาบันกษัตริย์ พร้อมกับกระแสการกลับไปหา “คณะราษฎร” อีกครั้ง
แน่นอนว่า สถาบันกษัตริย์และเครือข่ายแวดล้อมมีความสำคัญต่อสังคมการเมืองไทย แต่การอภิปรายถึงสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์และเครือข่ายในยุค “หลังคณะราษฎร” เป็นต้นมา กลับถูกครอบด้วยแนวคิดที่ว่าสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาติและ “ต้อง” อยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป รวมทั้งยังถูกจำกัดด้วยกฎหมาย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท.) ซึ่งเคยเป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับสถาบันกษัตริย์ล่มสลายลง ปัญญาชนไทยก็ค่อย ๆ เลิกให้ความสำคัญต่อประเด็นสถาบันกษัตริย์ สภาวะเช่นนี้ ทำให้งานเขียนในโลกวิชาการภาษาไทยที่ศึกษาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่มิใช่ลักษณะอาเศียรวาทสดุดีมีอยู่น้อยชิ้นและไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
อย่างไรก็ดี ในปี 2544 การปรากฏตัวของหนังสือ ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง ของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ท้าทายต่อกรอบความคิดหลักในการวิเคราะห์บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในการเมืองไทย ในปีเดียวกันนั้นเอง บทความเรื่อง “วิวาทะของหนังสือเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจฯ และพระบรมราชวินิจฉัยฯ กับการเมืองของการผลิตซ้ำ” ของณัฐพล ใจจริง ก็ปรากฏตีพิมพ์ใน จุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์ ฉบับที่ 6 (มิถุนายน 2544-พฤษภาคม 2545)
หลังจากนั้นนับเป็นเวลาเกือบทศวรรษที่ณัฐพล ใจจริงพยายามขยายพรมแดน ความรู้เรื่อง “การปฏิวัติ 2475” โดยการเข้าไปศึกษาขบวนการ “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ 2475” และผลงานเกือบทั้งหมดกลายมาเป็นหนังสือเล่มนี้
กล่าวโดยรวม ณัฐพล ใจจริงเป็นหนึ่งในนักวิชาการร่วมสมัยปัจจุบันที่ช่วยบุกเบิก “รื้อ” ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพปัญหาการเมืองไทย รวมทั้งบทบาทของสถาบันกษัตริย์และกลุ่มกษัตริย์นิยมต่อระบอบการเมือง โดยใช้เอกสารหลักฐานเป็นจำนวนมาก ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว ปัญหาและความพิกลพิการต่างๆ ของการเมืองไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของสถาบันกษัตริย์และกลุ่มกษัตริย์นิยมด้วยอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง แสดงให้เห็นว่าสถานะของสถาบันกษัตริย์อย่างที่ดำรงอยู่ในสังคมไทยและในหัวของคนไทยทุกวันนี้มิใช่สิ่งดั้งเดิมที่เป็นอยู่มายาวนานสืบเนื่องไม่เปลี่ยนแปลง แต่เป็นผลผลิตจากกระบวนการ “คว่ำปฏิวัติ–โค่นคณะราษฎร” นับตั้งแต่ขวบปีแรกของ “ระบอบใหม่” เป็นต้นมา
หนังสือ ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) เล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือชุด “กษัตริย์ศึกษา” ของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ซึ่งพยายามรวบรวมงานศึกษาที่แวดล้อมสถาบันกษัตริย์ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรรม เนื่องจากฟ้าเดียวกันเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจสังคมไทยอย่างถึงรากโดยละเลยองค์ความรู้เรื่องสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าเราจะมีทัศนะต่อบทบาทหรือการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์อย่างไร
การศึกษาเรื่องการเมืองไทยโดยรัฐศาสตร์แนวการพัฒนาการเมือง (political development) นั้นมักสรูปปัญหาการพัฒนาประชาธิปไตยไทยว่า เกิดขึ้นจากกองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมืองนับตั้งแต่ “การปฏิวัติ 2475” เป็นต้นมา หรือมักเรียกกันว่า “อำมาตยาธิปไตย” (bureaucratic polity) ข้อสรุปดังกล่าวได้ครอบงำ องค์ความรู้ทางรัฐศาสตร์และองค์ความรู้ในทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่เป็นเวลายาวนาน อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เริ่มเกิดคำถามต่อข้อสรุปนี้ ซึ่งมุ่งมองกองทัพเป็นตัวแสดงหลักทางการเมืองแต่เพียงตัวแสดงเดียว ว่าทำให้การศึกษาดังกล่าวมองข้ามการพิจารณาตัวแสดงทางการเมืองสำคัญอื่นๆ ไป
เป็นความจริงที่ว่า แม้ในเวลาต่อมาจะมีการขยายพรมแดนของความรู้ในทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่โดยนักวิชาการหลายคนที่มุ่งศึกษาบริบทและผลของ “การปฏิวัติ 2475” ซึ่งมีผลงานโดดเด่นหลายเล่มก็ตาม แต่ยังไม่มีการศึกษาด้านกลับของการปฏิวัติ 2475 หรือ “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ 2475” (the counter-revolution of 1932) ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
หนังสือรวมบทความเล่มนี้จึงขอร่วมเปิดพรมแดนการศึกษา “การปฏิวัติ 2475” ใหม่ ด้วยการศึกษา “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ 2475” เพื่อเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ ประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่หรือประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยแบบใหม่ โดยคลี่ให้เห็นถึงความคิดและความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มอนุรักษ์นิยมหรือกลุ่มกษัตริย์นิยมที่เป็นกลุ่มพลังทางการเมืองสำคัญภายหลังการปฏิวัติ 2475 ซึ่งความคิดและบทบาททางการเมืองของพวกเขามีผลกระทบต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่น้อยไปกว่าบทบาทของกองทัพ
ทั้งนี้ งานเขียนของข้าพเจ้าจะไม่สามารถสำเร็จลงได้หากปราศจากความช่วยเหลือของครู เพื่อน และกัลยาณมิตรดังต่อไปนี้ รศ.ดร. กุลลดา เกษบุญชู–มี้ด ศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ ดร. เกษม เพ็ญภินันท์ ดร, เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อ. จีรพล เกตุจุมพล ดร. จักรี ไชยพินิจ ศ.ดร. ฉัตรทิพย์ นาถสุภา รศ. ฉลอง สุนทราวาณิชย์ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ศ.ดร. ไชยวัฒน์ ค้ำชู ศ.ดร.ชัยวัฒน์สถาอานันท์ อ.ชาย ไชยชิต ชัยธวัช ตุลาธน ดร. ฐาปนันท์นิพิฏฐกุล ดาวเรือง แนวทอง ผศ. ร.ท. เทอดสกุล ยุญชานนท์ ผศ.ดร. ทวีศักดิ์ เผือกสม ศ.ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ศ.ดร. ธงชัย วินิจจะกูล รศ. ธเนศ วงศ์ยานนาวา ผศ.ดร. ธํารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ ดร. ธนาพล ลิ่มอภิชาต ธนาพล อิ๋วสกุล ศ.ดร. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ผศ.ดร. บูฆอรี ยีมะ ผศ.ดร. บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ อ.ปรียาภรณ์ กันทะลา ดร. ประจักษ์ ก้องกีรติ ผศ.ดร. ประภาส ปิ่นตกแต่ง ผศ.ดร. พิษณุ สุนทรารักษ์ รศ.ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ ผศ.ดร.พิศาล มุกดารัศมี ดร. พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย ผศ.ดร. ยุกติ มุกดาวิจิตร รศ. วีณา เอี่ยมประไพ ผศ. เวียงรัฐ เนติโพธิ์ ดร.วสันต์ เหลืองประภัสร์ วารุณี โอสถารมย์ วีรศักดิ์ กีรติวรนันท์ รศ.ดร.ฤๅเดช เกิดวิชัย ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รศ.ดร. สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ผศ. สุวิมล รุ่งเจริญ สุพจน์ แจ้งเร็ว เสถียร จันทิมาธร อ. สุดแดน วิสุทธิลักษณ์ อ. ศิวะพล ละอองสกุล อ. ศรัญญู เทพสงเคราะห์ ศ.ดร. อนุสรณ์ ลิ่มมณี ศ.ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อุกฤษฎ์ปัทมานันท์ ดร. อลงกรณ์ อรรคแสง David Streckfuss Kevin Hewisonและ SørenIvarssonรวมทั้งคนอื่น ๆ ที่มิอาจบันทึกได้หมดบนหน้ากระดาษนี้ที่ให้คำสอน คำปรึกษา และความช่วยเหลือ ทั้งทางตรงและทางอ้อม แก่ผู้เขียนเสมอมา และที่สำคัญที่ไม่อาจลืมได้ คือ แม่ เอ๋ และเพลิน
[1]โปรดดูตัวอย่างของการศึกษาปฏิปักษ์การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ใน jacqesLéon Godechot, The Counter – Revolution : Doctrine and Action, 1789-1804 (Princeton, New Jersey : Princeton University Press, 1981) เป็นต้น