ความขัดแย้งทางการเมืองขนานใหญ่ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมามันเกิดจากการปะทะกันระหว่างเครือข่ายอำนาจเดิม Network monarchy ปะทะกับ Thaksin network เครือข่ายอำนาจสองอำนาจมาเผชิญกันแล้วช่วงชิงอำนาจนำในสังคมไทย พออีลีตทะเลาะกัน แล้วมันเข้าสู่ยุคการเมืองมวลชน ก็หลีกไม่พ้นที่จะดึงมวลชนเข้ามาร่วมในความขัดแย้งนี้ …
ที่ระบบการเมืองมีปัญหามาจากประชาธิปไตยสองใบอนุญาต มาจากฉันทมติ 112 และมาจากประชาธิปไตยบ้านใหญ่ ประชาธิปไตยสองใบอนุญาต แทนที่อำนาจจะรวมศูนย์อยู่ที่เดียวแล้วผ่านการเลือกตั้ง พรรคที่ชนะเลือกตั้งได้ใบอนุญาตเป็นรัฐบาล ไม่ ในเมืองไทยคุณชนะเลือกตั้งคุณอาจไม่ได้เป็นรัฐบาลเพราะต้องได้ใบอนุญาตที่สองคือใบอนุญาตจากชนชั้นนำด้วย
อาการแสดงที่แสดงชัดเป็นรูปธรรมที่สุดของประชาธิปไตยสองใบอนุญาต คือ อำนาจกับความรับผิดอยู่คนละที่ แปลว่าต่อให้ทำผิดก็ไม่ต้องถูกลงโทษเพราะมีอำนาจ อำนาจอยู่ที่หนึ่ง ความพร้อมรับผิดอยู่อีกที่หนึ่ง ผู้มีอำนาจไม่ต้องพร้อมรับผิด ผู้พร้อมรับผิดไม่มีอำนาจ …
การที่ในสังคมประชาธิปไตยไทยมันมีอาการประชาธิปไตยสองใบอนุญาต มันสะท้อนว่าอำนาจอธิปไตยจากการแทนตนมีปัญหา เรามีอำนาจอธิปไตยพันลึกคู่ deep dual sovereignty จึงทำให้ต้องเป็นประชาธิปไตยสองใบอนุญาต…ถ้าเราเลือกเขาแล้วเขาใช้อำนาจผิด เขาจ่าย หนหน้ากูไม่เลือกมึง แต่ถ้าเป็นระบอบที่การแทนตนไม่มีอยู่จริง เขามีอำนาจเขาตัดสินใจผิด เราจ่าย แล้วเขามีอำนาจต่อไปในรอบหน้า
เกษียร เตชะพีระ กล่าวในงานเสวนาวิชาการ “ประชาธิปไตยบนทางแพร่ง” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 (ดูเทปบันทึกย้อนหลังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ndKhzMsPOoY) หนึ่งเดือนหลังจากนั้น สถานการณ์การเมืองไทยก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นอาการของ “ประชาธิปไตยสองใบอนุญาต” ที่แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อผู้นำประเทศ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ยืนยันไม่แสดงความรับผิดชอบกรณีคลิปเสียงฯ ด้วยการลาออกหรือยุบสภาเยี่ยงผู้นำในประเทศประชาธิปไตยกระทำกันเมื่อความชอบธรรมทางการเมืองหมดลงแล้ว นั่นยิ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าผลประโยชน์ของชาติคือผลประโยชน์ส่วนตนของตระกูลชินวัตรเท่านั้น
รัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วของเพื่อไทยที่พยายามคืนดีกับอำนาจนอกระบบโดยไม่มีประชาชนอยู่ในนั้น จึงต้องรักษาอำนาจไว้ให้นานที่สุดแม้จะต้องใช้เครื่องมือที่ฝ่ายชนชั้นนำอำมาตย์สร้างไว้ในรัฐธรรมนูญ 60 เพื่อทำลายประชาธิปไตยเสียงข้างมากก็ตาม
พรรคฝ่ายต่างๆ ในรัฐบาลกำลังใช้สถาบันต่อต้านเสียงข้างมากและกลไกนิติสงครามทำสงครามการเมืองใต้น้ำกันพัลวันและดุเดือดเลือดพล่านขึ้นทุกที นักเลือกตั้งกำลังใช้เครื่องมืออาวุธยุทโธปกรณ์ต่อต้านอำนาจเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งของฝ่ายอำมาตย์ เข้าเล่นงานห้ำหั่นกัน แทนที่จะร่วมมือกันลดรับตัดทอนปรับเปลี่ยนปฏิรูประบบการเมืองนั้น ไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ลดอำนาจ สว. ไม่ลดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับใช้เครื่องมือเหล่านี้ที่เขาวางไว้ฆ่าเสียงข้างมากหยิบขึ้นมาฆ่ากันเอง ไม่มีพรรคฝ่ายใดสามารถบรรลุโครงการขนาดใหญ่ระดับชาติของตัวเองได้ตลอดลอดฝั่ง
ดังเป็นไปตามคาด เพื่อรักษาใบอนุญาตที่สอง—ใบอนุญาตจากชนชั้นนำ—เอาไว้ เราอาจได้เห็นรัฐบาลอนุรักษนิยมขวาจัดขึ้นเรื่อยๆ ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำย่อมจะส่งผลให้นโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนไม่บรรลุผล รัฐบาลพลเรือนกลายเป็นลูกไล่ของกองทัพในกรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนการห้ำหั่นทำลายกันด้วยกลไกนิติสงคราม น่าสนใจว่าเรากำลังอยู่ในระบอบประชาธิปไตยแบบใดกันแน่
หนังสือ ประชาธิปไตยใส่ชฎา บอกเราว่าประชาธิปไตยไม่เคยหยุดนิ่งแช่แข็ง หากมันถูกช่วงชิงความหมายหรือต่อสู้กันระหว่างกลุ่มต่างๆ อยู่เสมอ ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่เรียกกันว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ได้ช่วงชิงความหมายและคลี่คลายเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัยจากเงื่อนไขปัจจัยค้ำจุนหลักอันได้แก่พระราชอำนาจนำและฉันทมติภูมิพลที่ปัจจุบันเริ่มค่อยๆ เสื่อมคลายลง
เกษียรชี้ให้เห็นวิกฤตของระบอบเสรีประชาธิปไตยที่ซึ่ง “เสรีนิยม” กับ “ประชาธิปไตย” แยกข้างออกห่างจากกัน ภายใต้ระบอบทักษิณเรามีประชาธิปไตยไม่เสรี พอรัฐประหาร 19 กันยา 40 เราตกอยู่ในระบอบเสรีนิยมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย จนเมื่อรัฐประหารครั้งล่าสุดได้ทำลายทั้งเสรีนิยมและประชาธิปไตยลง และ “วางทุ่นระเบิด” เอาไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เพื่อคงอำนาจชนชั้นนำให้ยาวนานที่สุดโดยการทำให้ประชาธิปไตยง่อยเปลี้ยที่สุดดังที่ประจักษ์ชัดในการจัดตั้งรัฐบาลผสมพันธุ์ข้ามขั้วมาแล้ว
แต่เมื่อสังคมเปลี่ยน เงื่อนไขบริบทการเมืองเปลี่ยน เกิดตัวแสดงทางการเมืองใหม่ๆ เกิดการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนหนุ่มสาวตั้งคำถามและเข้ามาร่วมช่วงชิงนิยามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในห้วงยามที่เสรีนิยมรอยัลลิสต์สั่นคลอน แผนที่การคิดเรื่องประชาธิปไตยสี่ทศวรรษของเกษียรใน ประชาธิปไตยใส่ชฎา เล่มนี้ อาจช่วยนำทางเราไปสู่การต่อสู้แบบใหม่เพื่อให้หลักการประชาธิปไตยอันเป็น “การปกครองของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน” หยั่งรากลงบน “ชาติ” ที่ประชาชนคือผู้ทรงอำนาจสูงสุด
ส่วนชนชั้นนำที่กำลังกอดกุมอำนาจอยู่โดยไม่ฟังเสียงประชาชนนั้น ..
มันจะดีกว่าไม่ใช่หรือ ถ้าคุณเข้าร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงแล้วออกแบบระเบียบใหม่โดยที่คุณมีส่วนด้วย แล้วคุณจะได้เปรียบ ต้องมีพื้นที่ให้คนอื่นได้เข้ามาแข่งกับคุณ มีโอกาสให้กับพวกเขาด้วย แต่ถ้าคุณขัดขืนฝืนไปหมด แทนที่คุณจะรักษาสิ่งเก่าไว้ได้ คุณอาจจะรักษาอะไรไว้ไม่ได้เลย (ปชต.ใส่ชฎา, น. 284)