นิทรรศการ Glass Plate Negatives: Circles of Centres ที่กำลังจัดแสดง ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครขณะนี้ รวบรวมคัดสรรภาพถ่ายจากฟิล์มกระจกโดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติ อันเป็นความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากร มูลนิธิสิริวัฒนภักดี บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิส่งเสริมการถ่ายภาพ โดยมีภัณฑารักษ์ ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน
ภาพถ่ายฟิล์มกระจกชุดนี้ถือว่าทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์[1] บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์สยามสมัยรัชกาลที่ 5 โดยนำเสนอการตีความภาพถ่ายในมิติใหม่จากแนวคิดของโรล็องด์ บาร์ตส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาพถ่าย ความทรงจำ และความสูญเสีย โดยตั้งคำถามสำคัญว่า “เราจะมองภาพถ่ายด้วยสายตาใหม่ได้อย่างไร?”
บันทึกนิทรรศการบรรยายว่า ภาพถ่ายบันทึกช่วงเวลาอันโดดเด่นของสยามยามเปลี่ยนผ่านจากยุคโบราณที่ยึดคติการปกครองแบบ “มณฑล” หรือ “มันดาลา” เป็นศูนย์กลางตามคติฮินดู-พุทธ มาสู่ยุครัฐชาติสมัยใหม่ที่มีเส้นเขตแดนชัดเจน โดยพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 ผู้สถิตอยู่ใจกลางของศูนย์กลางมณฑลนั้นได้แสวงหาหนทางเพื่อจะรักษาเอกราชของสยามเอาไว้จากการขยายอำนาจของจักรวรรดินิยมที่แผ่อิทธิพลจนทำให้ “วงกลมแห่งศูนย์กลาง” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่อยๆ ลดขนาด หมดอำนาจและบทบาทลงในที่สุด
นิทรรศการแบ่งออกเป็น 5 องก์ ผู้ชมจะได้สัมผัสถึงหลากหลายบทบาทของรัชกาลที่ 5 และผู้คนแวดล้อม การใช้ชีวิตในราชสำนักกรุงเทพฯ พระราชพิธีต่างๆ ตลอดจนการเสด็จประพาสปักษ์ใต้ตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา ถึงรัฐสุลต่านตอนใต้เช่นตรังกานูและดินแดนอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป โดยชวนผู้ชมตั้งคำถามว่าเมื่อดูภาพแต่ละภาพเหล่านี้แล้ว “เราจดจำรับรู้ถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเพียงว่าทรงแตกต่างโดดเด่นจากผู้อื่น หรือเราเข้าถึงแก่นแท้ของพระองค์ท่าน?”
อย่างไรก็ดี คำถามที่น่าสนใจกว่าก็คือ หากเราจับภาพถ่ายในอดีตเหล่านี้มาสนทนากับปัจจุบันด้วยมุมมองใหม่ เราจะเห็นอะไรในนั้น
กล้องถ่ายภาพ

นี่คือภาพกระบวนเสด็จประพาสชายทะเลตะวันตกของรัชกาลที่ 5 ผู้นำชมบรรยายว่าการเดินทางแต่ละครั้งต้องบรรทุกสัมภาระมากมายทั้งกำลังคนและข้าวของ โดยเฉพาะการถ่ายภาพอันเป็นกิจกรรมทรงโปรดเป็นที่สุด ในการถ่ายภาพแต่ละครั้งจำเป็นต้องอัดล้างทันทีเพื่อคงสภาพให้ภาพนั้นสมบูรณ์ที่สุด แม้แต่การเสด็จทางเรือก็ต้องจัดสร้างห้องมืดสัญจรในเรือเพื่อการล้างภาพโดยเฉพาะ กว่าจะได้ภาพภาพนี้ออกมา
ดูเหมือนว่ารัชกาลที่ 5 จะร่ำรวยไม่น้อย เมื่อดูตัวเลขรายจ่ายของราชสำนักระหว่าง พ.ศ. 2435–2453 ที่เพิ่มทวีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีการจัดตั้งกรมพระคลังข้างที่ในปี 2433 แต่การแบ่งแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับทรัพย์สมบัติของแผ่นดินยังเป็นเพียงในนามมากกว่าในทางปฏิบัติจริง (เจ้าชีวิต, น. 43) รายจ่ายเหล่านี้ถูกใช้ไปกับการจับจ่ายเพื่อบริโภคตามรสนิยมตะวันตกอย่างมโหฬารในหมู่ชนชั้นนำราชสำนัก และการถ่ายภาพก็เป็นหนึ่งในนั้น
ความสนใจที่รัชกาลที่ 5 มีต่อการถ่ายภาพอย่างยิ่งนั้นสอดคล้องอย่างเหมาะเจาะกับความหมกมุ่นที่ชนชั้นนำมีต่อภาพลักษณ์ที่ตนนำเสนอ…ที่สำคัญที่สุดคือ ภาพถ่ายจำนวนมากจากสมัยรัชกาลที่ 5 ที่แพร่หลายในสังคมได้ก่อให้เกิดภาพจำต่อยุคดังกล่าว…ภาพถ่ายเหล่านี้สำคัญยิ่งต่อการเสนอภาพแทนผ่านสื่อเกี่ยวกับสมัยรัชกาลที่ 5 ในฐานะต้นกำเนิดสภาวะสมัยใหม่ของไทย ควบคู่กับความเข้าใจทั่วไปที่ว่า “สังคมหนึ่งๆ เริ่มกลายมา ‘เป็นสมัยใหม่’ ก็ต่อเมื่อกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของสังคมนั้นคือการผลิตและบริโภครูปภาพ” (เจ้าชีวิต, น. 27)
กล้องถ่ายภาพกลายเป็น “ของเล่นใหม่” ของชนชั้นนำสยามที่มาพร้อมกับการรับเอาแบบแผนการบริโภค รสนิยมและอัตลักษณ์ที่ปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบสมัยใหม่เข้าสู่ราชสำนัก การถ่ายภาพได้กลายเป็นวิถีปฏิบัติที่ชนชั้นนำให้ความสำคัญ ภาพถ่ายได้กลายเป็นตัวแบบของการก่อร่างภาพลักษณ์อัน “ศิวิไลซ์” ของกษัตริย์สยาม ดังในปี 2439 ระหว่างเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวาพร้อมคณะผู้ติดตาม 25 คนนั้น มีการเลือกสวมใส่ชุดแบบตะวันตกเต็มยศเพื่อการนี้ (คะเนว่าเครื่องแต่งกายทั้งคณะน่าจะมีมูลค่าถึง 2-3 หมื่นบาท!) การเดินทางนานสามเดือนและมีการถ่ายภาพบันทึกเหตุการณ์ไว้ตลอดทุกช่วงนี้ โดยเนื้อแท้แล้วเป็นโอกาสที่ชนชั้นนำใช้ซักซ้อมการนำเสนอตนเองบนเวทีอาณานิคมเพื่อตระเตรียมสำหรับการเยือนยุโรปในปีถัดมา (เจ้าชีวิต, น. 97) ดังในบันทึกการเดินทางของรัชกาลที่ 5 ว่า “การที่แต่งตัวเปนฝรั่งอยู่ข้างจะมีคุณ เพราะพวกนี้มันกลัวฝรั่ง”


การแต่งกาย


ในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้านายเหล่านี้ได้รับการแต่งองค์ทรงเครื่องตามสมัยนิยม อย่างน้อยก็เพื่อถ่ายภาพ … เครื่องแต่งกายที่ว่านี้จึงเน้นย้ำสถานะความเป็นชนชั้นสูงของราชวงศ์ไทยให้เหมือนกับเหล่า “ประยูรญาติ” ในยุโรป แม้แบบชุดจะไม่ได้เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วแต่จงใจให้ละม้ายคล้ายคลึงก็ตาม อย่างไรก็ดี เครื่องประดับตามธรรมเนียมเดิม เช่นกำไลข้อมือและกำไลข้อเท้ายังถือเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะ และจึงสวมทับไปบนถุงเท้าอันเป็นเครื่องหมายแสดงความ “ศิวิไลซ์” ด้วย
อาจกล่าวได้ว่า การปรับแต่ง “องค์ประสานอาภรณ์-เรือนร่าง” ในราชสำนักช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นั้นดำเนินรอยตามแบบแผนที่ปฏิบัติการมายาวนานในการผสมผสานเครื่องแต่งกายพื้นถิ่นเข้ากับเครื่องแต่งกายจากต่างถิ่นเพื่อสร้างรูปแบบการแต่งกายเฉพาะตัวขึ้นมา…การรับเอารูปแบบจากภายนอกเข้ามาผนวกจนกลายเป็นเครื่องแต่งกายลูกผสมที่สื่อถึงความเชื่อมโยงระหว่างชนชั้นนำสยามกับอารยธรรมจากต่างชาติ และกลายมาเป็นเครื่องมือที่ชนชั้นนำใช้เพื่อนิยามอัตลักษณ์ของตนเอง (เจ้าชีวิต, น. 91)
ภาพถ่ายชุดนี้ได้ทำหน้าที่บันทึกความเปลี่ยนแปลงสำคัญของการแต่งกายของชนชั้นสูง เครื่องแต่งกายกลายเป็นตัวนิยามอัตลักษณ์ทางชนชั้น ชุดทางการของราชสำนัก (เสื้อแขนยาวสีขาวคอตั้งสูงมีกระดุมห้าเม็ด—ราชปะแตน) เป็นตัวอย่างชัดเจนของประเพณีประดิษฐ์ อาจกล่าวได้ว่าการที่บุรุษทุกคนในราชสำนักแต่งชุดกึ่งทางการแบบเดียวกันนี้ช่วยสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้เกิดขึ้นในกลุ่ม พร้อมๆ กับสร้างความนับหน้าถือตาให้แก่ชนชั้นนำในสายตาชาวตะวันตก (เจ้าชีวิต, น. 87)
หลังพ่ายแพ้แก่ฝรั่งเศสในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 เครื่องแบบทหารได้เข้ามาแทนที่เครื่องทรงตามประเพณีเดิม ดังภาพถ่ายแสดงให้เห็นว่ารัชกาลที่ 5 พร้อมคณะข้าราชบริพารได้สวมเครื่องแบบทหารในการประกอบพระราชพิธีโบราณต่างๆ เช่นพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน เป็นต้น ภาพถ่ายเหล่านี้ทำให้เราเห็นการปรับเปลี่ยนทัศนาวิถีการนำเสนอตัวตนของชนชั้นนำสยามสู่สายตาชาวสยามเองและชาวต่างชาติอย่างไร ยังไม่นับว่านิทรรศการชุดนี้ได้ละลืมเหล่าสตรีในราชสำนักไปเสียสิ้น ทั้งที่สตรีชั้นสูงในราชสำนักต่างก็มีบทบาทและสถานะในกระแสธารแห่งการปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นสมัยใหม่ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การอวดแสดงฐานะบารมีหรือการนำเสนอตัวตนอันศิวิไลซ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อสยามเข้าสู่เวทีโลก และเมื่อชนชั้นสามัญชนเติบโตจากระบบราชการที่รัชกาลที่ 5 สถาปนาขึ้นเอง รัชกาลที่ 5 ผู้มองการณ์ไกลได้เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอตัวตนแบบใหม่ในช่วงหลังของรัชสมัย ภาพถ่ายเสด็จประพาสต้นด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย การแต่งกายแบบสากลเรียบง่ายของพระองค์เป็นที่แพร่หลายและได้รับยกย่องว่าเป็น “กษัตริย์กระฎุมพี” โดยแท้
มหรสพ


หลักคิดเบื้องหลังมหรสพในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ได้อยู่ในกรอบเวลาแบบวัฏจักรตามคติรัฐแบบพราหมณ์-ฮินดูอีกต่อไป หากเป็นไปตามอุดมการณ์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ยุคสมัยใหม่ที่ผูกโยงความสำเร็จของกษัตริย์ กระทั่งมรณกรรมของกษัตริย์เข้ากับรัฐซึ่งแสดงออกในเชิงบุคลาธิษฐานผ่านตัวกษัตริย์ มหรสพที่จัดขึ้นนับเนื่องระหว่างปี 2450–2451 เร่งเร้าให้ตระหนักถึงความสำเร็จสูงสุดของสมัยรัชกาลที่ 5 โดยการเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ที่ยังอยู่ในกระบวนการก่อร่างต่อหน้ามวลมหาชนที่ปราศจากความคุ้นเคยกับแนวคิดเรื่องความก้าวหน้าแบบปฏิฐานนิยม และยังเป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ชนชั้นนำที่ปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบสมัยใหม่…มหรสพเหล่านี้ซึ่งจัดแสดงเรื่องเล่าความสำเร็จของชนชั้นนำที่ปรับตัวให้ทันสมัยขึ้นในอาณาบริเวณสาธารณะได้เผยให้เห็นเจตนาเบื้องหลายในการก่อรูปความทรงจำสาธารณะเกี่ยวกับรัชสมัยของพระจุลจอมเกล้าฯ (เจ้าชีวิต, น. 186)
การเฉลิมฉลองรับเสด็จรัชกาลที่ 5 หลังการประพาสต่างประเทศนานเกือบ 8 เดือนในปี 2450 นั้น มีการบันทึกภาพถ่ายในทุกช่วงที่ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านระหว่างกลับสู่พระนคร กระบวนยาตราตลอดถนนราชดำเนินนั้นมีการตั้งซุ้มประตูชัยตามอย่างการรับเสด็จกษัตริย์ยุโรป เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวพระนครเวลานั้น พิธีกรรมสรรเสริญตนเองนี้ได้รับการพรรณนาอรรถาธิบายอย่างละเอียดยิ่งในบทที่ 5 ของ เจ้าชีวิต เจ้าสรรพสิ่ง
เมาริตซิโอ เปเลจจี ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เล่าไว้ในคำนำว่า ตนเคยถูกท่านทูตท้วงติงขอให้เปลี่ยนชื่อหนังสือ “เนื่องจาก Lords of things หรือ ‘เจ้าสรรพสิ่ง’ เป็นฉายาที่มิบังควรแก่กษัตริย์ไทย เพราะเป็นการลดทอนสถานะและพระราชอำนาจของกษัตริย์”
แต่ภาพเหล่านี้ก็ล้วนบอกเราว่า กษัตริย์สยามผู้เป็นเจ้าเหนือหัวนั้นได้ครอบครองข้าวของสมัยใหม่ที่ชนชั้นนำยุโรปล้วนมีในครอบครอง ฉายา “เจ้าแห่งสรรพสิ่ง” ของรัชกาลที่ 5จึงนับว่าไม่เกินจริงเลย
ขณะที่นิทรรศการชวนให้เราโหยหาความรุ่งเรืองแห่งอดีตและตัวตนของกษัตริย์สยามยุคเปลี่ยนผ่าน หากอ่านใหม่ผ่านหนังสือเล่มนี้เราอาจเกิดคำถามว่า “วงกลมแห่งศูนย์กลาง” นั้นก็คือความเป็น “เจ้าแห่งสรรพสิ่งคือตัวฉันเอง” (“Lords of Things c’est moi”) ของรัชกาลที่ 5 หรือมิใช่?
จะเห็นว่าภาพเดียวกันหากตีความได้หลากหลายมิติขึ้นอยู่กับวิธีวิทยาที่ใช้ศึกษาภาพถ่าย หนังสือ เจ้าชีวิต เจ้าสรรพสิ่ง อาจช่วยให้เรามีเครื่องมือทางความคิดนอกกรอบประวัติศาสตร์ราชาชาตินิยมสำหรับวิเคราะห์ภาพถ่ายเหล่านั้นด้วยมุมมองเชิงวิพากษ์ ช่วยให้เราตั้งคำถามใหม่ๆ นอกเหนือไปจากที่นิทรรศการจัดแสดงไว้
และด้วยเหตุนี้เอง การชมนิทรรศการ Circles of Centres จึงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เรื่องและภาพ: Wirapa Angkoon
หมายเหตุ: นิทรรศการ Circles of Centres จัดแสดงถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ชั้น 9 / สั่งซื้อหนังสือ เจ้าชีวิต เจ้าสรรพสิ่ง ได้ที่ https://sameskybooks.net/index.php/product/9786169399483
[1] ฟิล์มกระจก เป็นเอกสารจดหมายเหตุประเภทโสตทัศนวัสดุ เป็นฟิล์มชนิดหนึ่งที่มีภาพในลักษณะเนกาทีฟและโพสซิทีฟปรากฏบนแผ่นกระจก เป็นหนึ่งในวิทยาการด้านการถ่ายภาพที่นิยมในช่วง พ.ศ. 2395–2472 (สมัยรัชกาลที่ 4–รัชกาลที่ 7) แต่มาเฟื่องฟูถึงขีดสุดในสมัยรัชกาลที่ 5 ยูเนสโกได้ประกาศให้ฟิล์มกระจกและภาพถ่ายต้นฉบับจากฟิล์มกระจกชุดหอพระสมุดวชิรญาณเป็นมรดกความทรงจําแห่งโลก ในฐานะที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมผ่านมุมมองของผู้ถ่ายภาพ สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการด้านต่างๆ ทั้งการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ บุคคล สถานที่ และเหตุการณ์สำคัญในอดีต มีคุณค่าทางวัฒนธรรม เป็นของแท้ดั้งเดิมและมีเพียงหนึ่งเดียว