ข้อมูลทั่วไป
หน้าปก | ปกแข็ง, ปกอ่อน |
---|---|
ผู้เขียน | เรณู ปัญญาดี |
จำนวนหน้า | 324 |
ปีที่พิมพ์ | 2555 |
ISBN ปกอ่อน | 9786167667041 |
ISBN ปกแข็ง | 9786167667034 |
ปกแข็ง 188.00 บาทปกอ่อน 150.00 บาท
หน้าปก | ปกแข็ง, ปกอ่อน |
---|---|
ผู้เขียน | เรณู ปัญญาดี |
จำนวนหน้า | 324 |
ปีที่พิมพ์ | 2555 |
ISBN ปกอ่อน | 9786167667041 |
ISBN ปกแข็ง | 9786167667034 |
คำนำสำนักพิมพ์ ฟ้าเดียวกัน
คำนำ กาลานุกรมการเมืองไทยฉบับเรณู ปัญญาดี โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
ศักยภาพของการ์ตูนช่อง : บทสัมภาษณ์เรณู ปัญญาดี
ครึ่งแรกของความรู้ 2546 – 2548
ชำระรายวัน
ครึ่งหลังของความรู้ 2554 – 2555
เรณู ปัญญาดี เริ่มส่งการ์ตูนขนาดสั้นจบในตอน ตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องใน มติชนสุดสัปดาห์ ตั้งแต่ปี 2542 และเขียนการ์ตูนขนาดยาวลงในวารสาร อ่าน และ มติชนสุดสัปดาห์ ตั้งแต่ปี 2548 นับจากปี 2542-2555 เป็นระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผู้อ่านได้รับรู้ความเป็นมาและเป็นไป ตลอดจนพัฒนาการของครอบครัวระกา–ราณี ซึ่งเปรียบเสมือนภาพตัวแทนครอบครัวชนชั้นกลางไทยในเมืองใหญ่
ในช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของสังคมไทยซึ่งกำลังจะมาถึงในไม่ช้า สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันเล็งเห็นว่า การรวบรวม และตีพิมพ์การ์ตูน เรณู ปัญญาดี ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมาเป็นชุด โดยแบ่งเป็น 3 เล่ม น่าจะมีความหมายต่อการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยลักษณะเฉพาะของการ์ตูน เรณู ปัญญาดีเอง 3 ประการ
ประการแรก แม้ เรณู ปัญญาดี จะดูเหมือนเป็นแค่การ์ตูนขนาดสั้นที่จบในตอน แทรกอยู่ในหน้านิตยสาร มติชนรายสัปดาห์ ทว่าสถานะของมันย่อมมิใช่แค่ของแถมอย่างที่บ่อยครั้งการ์ตูนการเมืองมักถูกให้ค่าตีราคาเช่นนั้นในสื่อของประเทศกำลังพัฒนายิ่งในยุคที่พายุใหญ่ทางการเมืองโหมใกล้เข้ามาอยู่รอมร่อ แต่ยังไร้สัญญาณเตือนล่วงหน้าใด ๆ จากเสียงฟ้าลั่นคำรามมาแต่ไกลของวรรณกรรมไทย จะมีก็แต่เสียงตะโกนโหวกเหวกของ ด.ช.ระกา และ ด.ญ. ราณี มิใช่หรือที่ดังจนแสบแก้วหู หากอ่านการ์ตูน เรณู ปัญญาดี รวดเดียวจบตั้งแต่เล่ม 1 เล่ม 2 และเล่ม 3 ผู้อ่านอาจเกิดอาการขนหัวลุกด้วยรู้ชัดแล้วว่าในระยะเวลาอันใกล้ ฟ้ากำลังจะถล่มและแผ่นดินจะสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างน่าแสยงสยองได้ขนาดไหน
ประการที่สอง ในแง่มิติเวลา การ์ตูน เรณู ปัญญาดีวางตัวเอง สัมพันธ์อยู่กับบริบททางการเมืองปี 2542-2555 ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ยุคทักษิโณมิกส์ ก่อนเกิดรัฐประหาร 19 กันยา 2549 จน เข้าสู่ยุคอำมาตยาธิปไตย (หรือเรียกให้หรูหราว่ายุคประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) อีกทั้งบ่อยครั้งหรือเกือบจะตลอดเวลา ที่ผู้อ่านจะสังเกตได้ถึงการที่เรณู ปัญญาดี เชื่อมโยง เรื่องราวกลับไปในช่วงปี 2516-2519 หรือไม่ก็ช่วง 2475 ผ่านความทรงจำของพ่อ ดังนี้แล้ว สำหรับผู้อ่านที่เป็นแฟนประจำ เรณู ปัญญาดีอยู่แล้ว การย้อนกลับไปอ่านการ์ตูน เรณู ปัญญาดีตั้งแต่แรกใหม่ จึงเปรียบได้กับการ revisit หรือการกลับไปพินิจพิจารณาทั้งครอบครัวระการาณีและสังคมไทยในช่วงเวลาต่าง ๆ ใหม่อีกครั้ง ซึ่งรับประกันว่าจะได้อรรถรสอีกแบบ และจะทำให้เห็นแง่มุมที่แตกต่างจากที่เคยอ่านมาแล้วในเวลา real time หากใครยังเชื่ออยู่อีกว่า “สิ่งดี ๆ กำลังจะมา” เส้นเวลาของระการาณีอาจบอกอะไรที่ตรงกันข้าม
ประการที่สาม ในขณะที่โดยเนื้อหา เรณู ปัญญาดีได้วิพากษ์วิจารณ์แทบจะทุกอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมสมัย ไม่ว่าอนุรักษนิยม เสรีนิยม สังคมนิยม ชาตินิยม ฟาสซิสม์ นิเวศนิยม โดยเนื้อแท้เป็นการเชิดชูคุณค่าการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นหัวใจของสังคมเสรีประชาธิปไตย เพราะฉะนั้น ในห้วงเวลาที่กระทรวงไอซีที ไม่ว่าโดยรัฐบาลอนุรักษนิยมหรือรัฐบาลที่พรางตัวอยู่ในคราบเสรีนิยม ยังคงเดินหน้าโครงการลูกเสือไซเบอร์ อบรมเยาวชนให้มีสำนึกเกลียดชังและจับผิดผู้ที่คิดเห็นต่าง ในห้วงเวลาที่ แบบเรียนไทยยังคงล้าสมัยไปไกลโพ้นอย่างยากจะชำระให้ทันท่วงทีกับการเปลี่ยนแปลง การ์ตูน เรณู ปัญญาดี อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ จะปลูกฝังวัฒนธรรมการตั้งคำถาม กระตุ้นความอยากรู้ หรือกระทั่งให้ความรู้ (ที่ไม่สำเร็จรูป) กับทั้งผู้ใหญ่และเด็กคนชั้นกลางในเมือง (ผู้ไม่อยากรู้อะไร/ผู้รู้ดีว่าตัวเองไม่อยากรู้อะไร) ซึ่งจะว่าไปก็น่าจะเป็นคู่สนทนาเดียวและถือได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่สุดของครอบครัวระกา–ราณี ส่วนเคาะประตูแล้วพวกเขาจะเปิดรับหรือไม่ ก็เป็นเรื่องยากเกินคาดเดา
การจัดเรียงและจัดหมวดหมู่ในการ์ตูน เรณู ปัญญาดี ทั้งสามเล่มนี้ โดยหลักได้จัดเรียงตามช่วงปีที่แต่ละตอนได้รับการตีพิมพ์ อีกทั้งเรียงใหม่ตามความจงใจของผู้เขียนเรณู ปัญญาดี เอง
เล่ม 1 แบบเรียน (กิ่ง) สำเร็จรูป (2542-2546) เป็นเรื่องของครอบครัวชนชั้นกลางป่วง ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยพ่อแม่ Stereotype, ระกา–ราณี ลูกชายลูกสาวตัวแสบ และหางดาหมาเนิร์ดที่หมกมุ่นอยู่กับโลกไซเบอร์สเปซ เรื่องราวส่วนใหญ่ วนเวียนอยู่ในปริมณฑลของครอบครัวและโรงเรียน ท่ามกลางสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับภาวะสมัยใหม่ โลกาภิวัตน์ สังคมไอที การแปรรูปเป็นเอกชน และอาการวิตกจริตว่าจะแข่งกับชาติอื่นในเวทีเศรษฐกิจโลกไม่ได้ ขณะที่ระบบการศึกษาภายในประเทศก็ล้าหลังสุด ๆ
เล่ม 2 ครึ่งหนึ่งของความ (ไม่อยาก) รู้ (2546-2555) แบ่ง เป็น 3 ส่วน ส่วนแรก “ครึ่งแรกของความรู้” (2546-2549), ส่วนที่สอง “ชำระรายวัน” (2549-2550), และส่วนที่สาม “ครึ่งหลังของความรู้” (2554-2555) ในเล่มนี้ ครอบครัวป่วง ๆ ของระกา–ราณี ต้องเผชิญกับความฉิบหายวายป่วงเข้าไปอีก เมื่อแขกที่ไม่ได้รับเชิญของคณะรัฐประหาร ตัวละครหน้าเก่าที่อวตารแปลงร่างมาในเสื้อคลุมแบบใหม่ ปลุกให้ความทรงจำของคนรุ่นพ่อต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ย้อนกลับมาทับซ้อนกับปรากฏการณ์ความรุนแรงที่ฝ่ายอนุรักษนิยม/รอยัลลิสต์กระทำต่อกลุ่มที่ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ แก่นแกนของเล่มนี้จึงดูเหมือนอยู่ที่การต่อสู้กันของ “ความรู้” และ “ความไม่อยากรู้” อย่างที่ตัวการ์ตูนพูดในตอนหนึ่งว่า “ครึ่งหนึ่งของความรู้คือรู้ว่าเราจะหาความรู้ได้ที่ไหน” (ฝ่ายเสื้อแดงที่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงและฝ่ายปัญญาชนก้าวหน้าที่เสนอการแก้ไขมาตรา 112) และ “อีกครึ่งหนึ่งของความรู้คือ รู้ว่าเราไม่อยากรู้อะไร” (ฝ่ายอนุรักษนิยม และรอยัลลิสต์ซึ่งต้องการดำรง status quo ของตนเอง และปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงด้วยวิธีการทุกรูปแบบ) ในขณะที่สื่อกระแสหลัก น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของ “ความไม่รู้” (ignorance) อย่างจงใจ เพราะถึงที่สุดแล้ว ได้เลือกที่จะจำกัดตัวเองอยู่ที่การเป็นกระดาษชำระรายวันซึ่งไม่ผลิตสร้างองค์ความรู้ใด ๆ ให้แก่สังคม
เล่ม 3 ท่องโลกพลังลบ เที่ยวภพพลังบวก (2548-2553) ในเล่มนี้ ระกา–ราณี สองพี่น้องสุดแสบพากันออกจากบ้าน (ก็แล้วใครจะทนนิ่งเฉยอยู่ไหว!) ทั้งสองเริ่มท่องเที่ยวไปในสามภพ แสวงหาความรู้ทางวิชาการอย่างจริงจังเพื่อเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ออกไปสู่ท้องถนน ไปสังเกต จับผิด ถอดรหัส การอ้างเหตุผลที่แสนจะ absurd ของพวกอีลีตม็อบ ศึกษาความย้อนแย้งของวาทกรรมการเมืองอย่างเป็นระบบ วิพากษ์กระทั่งด่ากราดภาวะเสแสร้งแกล้งเอาศีลธรรมมาบังหน้าของเหล่าตัวแสดงทางการเมือง ทั้งกูรูสันติภาพ ราษฎรอาวุโส สื่อผู้ทรงศีล ศิลปินจอมปลอม ฯลฯ อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม สุดท้ายจบการเดินทางด้วยการดิ่งลึกไปใน “นรก” เพื่อสำรวจหัวจิตหัวใจของเหล่าชนชั้นกลาง ที่ซึ่งความกลัวและกระบวนการจัดการกับความกลัวด้วยสิ่งที่เรียกว่า “วิธีคิดเชิงบวก” กำลังรีบเร่งทำงานกันอย่างแข็งขัน หลังการล้อมปราบผู้ชุมนุมในช่วงเมษา–พฤษภา 53 อย่างอำมหิต
สิบกว่าปีผ่านไป ภาพการ์ตูน ด.ช. ระกา กับ ด.ญ. ราณี ที่ยังถูกวาดด้วยลายเส้นแบบเดิมๆ ลวงตาผู้อ่านให้หลงคิดว่าทั้งคู่ยังเป็นเพียงเด็กประถมตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เติบโตขึ้นตามกาลเวลาแต่อย่างใด กระนั้นก็ตาม หากสบตากับเด็กทั้งสองนานพอผู้อ่านอาจเห็นภาพสะท้อนภาวะชราภาพของสังคมไทยอย่างกระจ่างชัด อีกทั้งเห็นภาพอุดมคติที่ยังสดใหม่ อันเป็นภาพ ideal type ของเสรีชนผู้ไม่สยบยอมต่อการครอบงำด้วยวาทกรรมใด ๆ
สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันคาดหวังว่า การผลิตซ้ำการ์ตูนชุด เรณู ปัญญาดีครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยในการเพิ่มปริมาณเสรีชนชนิดนี้ ผู้ซึ่งมั่นคงดำรงสติอยู่ได้ด้วย “อารมณ์ขันขึ้น” ไม่ว่าจะพลัดหลงเข้าไปอยู่ในครอบครัวสาธารณ์ ในระบอบการเมืองวิปริตในนรกดัดจริต หรือในสวรรค์วิมานจอมปลอม แน่นอนว่า เส้นทางสู่ความเป็นอารยะของสังคมไทยยังอีกยาวไกลนัก เรณู ปัญญาดี ไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้ว่าจุดหมายปลายทางจะอยู่ที่ไหนและจะมีหน้าตาอย่างไร เขาเพียงบอกเป็นนัยว่า คำตอบอาจอยู่ที่เสรีภาพในการตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง
มีนาคม 2555