สารบัญ
บทนำ
ผมไม่มีวันเห็นว่าการรัฐประหารใด ๆ ชอบธรรมเป็นอันขาด
นิธิ เอียวศรีวงศ์
สถาบันกษัตริย์กับรัฐธรรมนูญ
สุลักษณ์ ศิวรักษ์
ข้ามไม่พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา: ประชาธิปไตยแบบใสสะอาดของอภิชนกับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ธงชัย วินิจจะกูล
“การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คือการทำให้พลเมืองกลายเป็นไพร่”
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
ภาคผนวก: ว่าด้วยการแทรกแซงการเมืองของ “ชายบนหลังม้า”
S.E. Finer
เขียน รัฐประหาร วาทกรรมปฏิปักษ์ประชาธิปไตยในภูมิความคิดของปัญญาชนไทย
ศิโรตม์คล้ามไพบูลย์
ภาคผนวก: ข้อเสนอต่อรัฐบาลชั่วคราวและเรื่องรัฐธรรมนูญ
ธีรยุทธ บุญมี
การเมืองน้ำเชี่ยว:รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กับปัญหาความชอบธรรมทางการเมือง
เกษม เพ็ญภินันท์
อริสโตเติลกับรัฐประหาร “19 กันยา”
ชัยวัฒน์สถาอานันท์
เฮ้ย…ผมว่าเรียกมันเลยว่า “คณะปฏิกูล”
ธเนศ วงศ์ยานนาวา
หลักนิติรัฐประหาร
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
ฐานะทางประวัติศาสตร์ของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ภาคผนวก: ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของการรัฐประหาร รัฐประหารไทยในสายตาสื่อเทศ
ภัควดี วีระภาสพงษ์
ภาคผนวก: คุณมีรัฐธรรมนูญของคุณ เรามีรัฐธรรมนูญของเรา
สัมภาษณ์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
วิเคราะห์ระบอบสนธิ
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
แกะรอยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้ออกบัตรเชิญให้คณะรัฐประหาร
ธนาพล อิ๋วสกุล
ภาคผนวก: กันยา 48 – กันยา 49 เส้นทางสู่รัฐประหาร ทำไมพวกเขาถึงไม่ต้านรัฐประหาร
ประวิตร โรจนพฤกษ์
จารึกไว้ในยุคสมัยแห่งการ “รัฐประหาร”
อุเชนทร์ เชียงเสน
ปัญญาชน 14 ตุลา พันธมิตรฯ และแอ็กติวิสต์“2 ไม่เอา”
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
จากรัฐประหาร 19 กันยา ถึงรัฐธรรมนูญ 49: แสงริบหรี่ที่ปลายอุโมงค์
พัชรี อังกูรทัศนียรัตน์: เรียบเรียง
บทนำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารัฐประหารส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกครั้งของเมืองไทยล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการแย่งชิงอำนาจด้วยกันทั้งสิ้นไม่อำนาจทางการเมืองก็อำนาจทางเศรษฐกิจ รัฐประหาร 19 กันยา ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น ดังจะเห็นร่องรอยของความไม่พอใจในการจัดสรรอำนาจและผลประโยชน์ทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร
แต่การที่จะบอกว่าลำพังเพียงความขัดแย้งทางอำนาจ (โดยเฉพาะการโยกย้ายทหาร) นั้นเป็นปัจจัยเดียวหรือปัจจัยหลักในการรัฐประหารครั้งนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ตอบในหลายคำถาม เช่น
ทำไมสังคมการเมืองไทยจึงปล่อยให้รัฐธรรมนูญ ซึ่งถูกเรียกกันอย่างแพร่หลายว่า “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” กลายเป็นเพียงเศษกระดาษที่ไร้ความหมาย เพียงแค่มีรถถังเคลื่อนออกมา ?
ทำไมผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย จึงสยบยอมต่ออำนาจ “ศักดินาขุนศึก” ยอมแม้กระทั่งการขอ“นายกฯ พระราชทาน” หรือออกบัตรเชิญให้มารัฐประหาร?
ทำไมปัญญาชนไทย ซึ่งควรจะเป็นแนวหน้าในการพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตย จึงกลายมาเป็นทนายแก้ต่างให้อำนาจเผด็จการทหาร?
ทำไมพลังอำมาตยาธิปไตยซึ่งดูเหมือนจะหมดพลังไปอย่างสิ้นเชิงหลังเหตุการณ์ พฤษภาคม 2535 จึงกลับมาอีกครั้งในรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ และพลังเหล่านี้ยังเป็นความหวังของสังคมในการฝ่าวิกฤต?
ทำไมเครื่องแบบทหารที่เคยเป็นเครื่องแบบต้องห้ามหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 กลายมาเป็นแฟชั่นยอดฮิต?
ทำไมอาวุธสงครามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงจึงกลายมาเป็นเครื่องมือเพื่อระงับความรุนแรง?
ทำไมสถาบันกษัตริย์ซึ่งต้องอยู่ “เหนือ” การเมืองจึงกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญของคณะรัฐประหาร?
……
ในความเห็นของเรา ผลสำเร็จของรัฐประหาร 19 กันยานั้นมีอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นปัจจัยชี้นำอุดมการณ์ที่ว่านี้ได้ปรากฏอยู่ตั้งแต่วินาทีแรกของการรัฐประหาร นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ถึงแม้ระบอบที่ว่านี้เป็นเพียง “ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง” เพราะมันปรากฏครั้งแรกในธรรมนูญการปกครอง 2502 นี่เอง
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับศัตรูของมัน คือสิ่งที่เรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยเป็นตัวแทน ระบอบที่ว่านี้เป็นที่รวมของความเลวร้ายทั้งมวล (หลายเรื่องก็เป็นเรื่องจริงหลายเรื่องก็เป็นเรื่องโกหกพกลม ขณะที่อีกหลายเรื่องก็มิใช่เป็นปัญหาอันเกิดจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่คือปัญหาของรัฐไทย)
สำหรับผู้ที่ต้องการล้ม “ระบอบทักษิณ” กลยุทธ์ง่ายๆ แต่ทรงพลังคือการสร้างให้เป็นคู่ตรงข้ามกับ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ซึ่งกระทำผ่านการโฆษณาชวนเชื่อที่นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล และสื่อในเครือผู้จัดการ จนดูประหนึ่งว่าถ้าหากปล่อยให้ “ระบอบทักษิณ” อยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว ประเทศชาติจะล่มจม ศาสนาจะถูกทำลาย พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันคู่บ้านคู่เมืองของไทยจะกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ และหมดความสำคัญในที่สุด
ชัยชนะของอุดมการณ์นี้ คือการที่สนธิ ลิ้มทองกุล ในฐานะ “ประกาศก” คนสำคัญทำให้แม้แต่ผู้คนที่ไม่เคยเห็นด้วยกับเขาและรัฐบาลทักษิณ ต้องเลือกข้าง เราจึงได้เห็นหลายคนที่เคยแสดงความไม่เห็นด้วยกับแนวทางของสนธิ หรือเคยเป็นศัตรูเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น พิภพ ธงไชย เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สุริยะใส กตะศิลา ฯลฯ กลับต้อง สยบยอมกลายมาเป็น “หางเครื่อง” ให้กับสนธิ ด้วยข้อสรุปง่ายๆ คือ “ระบอบทักษิณ” เลวร้ายกว่า
(ผลข้างเคียงของปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้ที่วิจารณ์แนวทางของสนธิ ต้องกลายเป็นผู้รับใช้ “ระบอบทักษิณ” ไปเสียทุกราย)
เมื่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ได้ชัยชนะทางอุดมการณ์แล้ว เราจึงได้เห็นมันโลดแล่นอยู่ในฐานะเครื่องมือสำคัญในการกำจัด “ระบอบทักษิณ” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีการ “สนธิกำลัง” ระหว่าง “ฝ่ายบุ๋น” คือ สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้จุด“เทียนแห่งธรรม (ราชา)” กับ “ฝ่ายบู๊” คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เมื่อปี 2549 นับแต่นั้นเป็นต้นมาเค้าลางของการรัฐประหารก็ก่อตัวขึ้น
ตลอดปี 2549 เราจึงได้เห็นการต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมีประเด็นแตกต่างหลากหลายเพียงใดแต่ก็รวมศูนย์ไปสู่การถวายพระราชอำนาจคืน โดยรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดคือการยินยอมพร้อมใจกันขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2540 เศษกระดาษที่รอชั่งกิโลขาย
จนในที่สุดเมื่อสถานการณ์เกงอม รัฐประหาร 19 กันยาที่เกิดขึ้น โดยความยินยอมพร้อมใจของชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในเมือง
แต่กระบวนการรัฐประหารยังไม่เสร็จสิ้น เพราะคณะรัฐประหารยังไม่ได้ออกแบบสถาบันทางการเมืองเพื่อมารองรับ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่รัฐธรรมนูญ 2550 (ถ้ามี) ก็จะมีเพื่อการรองรับอุดมการณ์ทางการเมืองดังกล่าว
จากบทสรุปข้างต้น จึงเป็นที่มาของการแสวงหาคำตอบผ่านการจัดทำหนังสือเล่มนี้ รัฐประหาร 19 กันยา รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กล่าวโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เราขอประกาศไว้เลยว่าข้อเขียนที่ปรากฏอยู่ในเล่มนี้ (ยกเว้นภาคผนวก บทความของธีรยุทธ บุญมี และบทสัมภาษณ์ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์) เขียนขึ้นมาด้วยทัศนะของคนที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร (แต่นั้นก็มิใช่ว่า ข้อเขียนทั้งหมดจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ข้อเขียนหลายชิ้นที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ต่างก็วิวาทะกันเองด้วย)
ถึงแม้จะตระหนักว่าวิธีคิดในการทำหนังสือเช่นนี้ย่อมหมิ่นเหม่ต่อการกระทำที่ ผิด “หลักการ” ของสื่อมวลชนที่ดี ซึ่งต้องรักษาความเป็นกลาง, นำเสนอความเห็นของทั้ง 2 ฝ่าย หรือการที่ไม่ตัดสินอะไรด้วยอัตวิสัย
แต่ท่ามกลางสภาวการณ์ที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ ยอมรับเงื่อนไขของคณะรัฐประหารว่าจะมาเพียง “ชั่วคราว” และเข้ามาชำระล้างความเลวร้ายของ “ระบอบทักษิณ” โดยไม่ตั้งคำถามกับวิธีการได้มาซึ่งอำนาจหรือสิทธิเสรีภาพที่สูญหายด้วยข้ออ้างแบบครอบจักรวาลว่าเพื่อสยบ “คลื่นใต้น้ำ” แล้วทำให้เรายิ่งเห็นถึงความจำเป็นของการทำหนังสือที่ไม่เป็นกลาง นำเสนอด้านเดียว รวมทั้งใช้อัตวิสัยของการไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารเป็นธงนำ