ฟ้าเดียวกัน 7/2 : โทษที่ไม่เป็นธรรม

ลดราคา!

฿180.00


รหัสสินค้า: 9786169023807 หมวดหมู่:

ข้อมูลสินค้า

บทบรรณาธิการ

จดหมายถึงกองบรรณาธิการ

คำขบวน

Recuperated Workplacesสถานประกอบการที่แรงงานกอบกู้

ภัควดี วีระภาสพงษ์

เงินเดินดิน

ฟองสบู่ เงินเฟ้อ การเงินปืนกลและเงินตราแห่งอนาคต

สฤณี อาชวานันทกุล

ปีกซ้ายไร้ปีก

ข่าวว่ามาร์กซ์จะคืนชีพตอนวิกฤตเศรษฐกิจ

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

รายงานพิเศษ

ขวบปีที่ทุลักทุเลของมรดกโลกพระวิหาร

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

ทัศนะวิพากษ์

ความรุนแรงแห่งโทษที่ไม่เป็นธรรมและการปิดกั้น “ความจริง” ในมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

จรัญ โฆษณานันท์

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับความมั่นคงของรัฐ

วรเจตน์ ภาคีรัตน์

วิกฤตปัจจุบันในทัศนะฝ่ายซ้ายข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและปัญหาอำนาจนำของสหรัฐอเมริกา

ภารุต เพ็ญพายัพ

เงื่อนไขความสำเร็จ/ล้มเหลวของยุทธวิธีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม : ศึกษากรณีขบวนการต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินจังหวัดลำพูน

กิ่งกาญจน์ สำนวนเย็น

ภาพตัวแทนคนจนในรายการเกมส์โชว์ทางโทรทัศน์

ขวัญฟ้า ศรีประพันธ์

บทวิพากษ์ “การเมืองภาคประชาชน” ในประเทศไทย : ข้อจำกัดของแนววิเคราะห์และยุทธศาสตร์การเมืองแบบ “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่”

เก่งกิจ กิติเรียงลาภ,เควินฮิววิสัน

อ่านต่อ >>

ฟองสบู่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ วิกฤตความจงรักภักดีด้อยคุณภาพ

เช้าวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 ศาลอนุมัติหมายจับ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในหมู่คนเสื้อแดงว่า ดา ตอร์ปิโด บ่ายวันเดียวกันนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายศาลเข้าจับกุม น.ส. ดารณีทันทีในข้อหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 112 หรือที่เรียกกันติดปาก กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอันเนื่องมาจากคำปราศรัยของเธอ ณ ท้องสนามหลวง ดารณีกล่าวอะไรที่เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์? เท็จจริงเป็นเช่นไร? และจะพิสูจน์ถูกผิดกันอย่างไร? มาถึงวันนี้สาธารณชนก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้รับรู้ การพิจารณาคดีถูกปิดเป็นความลับที่พอจะทราบคือ เธอถูกออกหมายจับอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการออกหมายเรียกใดๆ ก่อนเลย และศาลไม่อนุญาตให้เธอประกันตัวด้วยเหตุผลที่ว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างยิ่ง รวมทั้งเกรงว่าเธอจะหลบหนีหรือกระทำผิดซ้ำอีกหากปล่อยตัวไปชั่วคราว หลังจากที่ดารณีถูกจองจำอยู่กว่า 1 ปี เธอจะได้รับฟังคำพิพากษาในพระปรมาภิไธยปลายเดือนสิงหาคมนี้

วันที่ 15 สิงหาคม 2551 ตำรวจออกหมายจับนางบุญยืน ประเสริฐยิ่ง อาชีพรับซื้อของเก่าและรับทำนายดวงชะตา ผู้พลิกผันตนเองกลายเป็นขาไฮด์ปาร์คหลังการรัฐประหาร 19 กันยาฯ ในข้อหาหมิ่นรัชทายาทตาม ม. 112 จากกรณีการปราศรัยบนเวทีสนามหลวง บุญยืนเข้ามอบตัวในวันเดียวกันและถูกคุมขังทันทีนับ

แต่นั้นเป็นต้นมา โดยไม่ได้รับการอนุญาตให้ประกันตัว ต่อมาเธอให้การรับสารภาพด้วยความหวาดกลัวและหวังว่าจะขอพระราชทานอภัยโทษในภายหลัง ในที่สุดศาลพิพากษาจำคุกบุญยืน 12 ปี และลดโทษเหลือกึ่งหนึ่งเนื่องจากเธอรับสารภาพ ปัจจุบันบุญยืนยังอยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์ขอลดหย่อนโทษขณะที่บ้านและรถที่ใช้ในการประกอบอาชีพของครอบครัวได้ถูกยึดไปหมดแล้ว เนื่องจากขาดผ่อนชำระ เพราะเธอซึ่งเป็นกำลังหลักของครอบครัวถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ สามีของเธอจึงต้องหารายได้ด้วยการรับจ้างทั่วไปมาจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านและเลี้ยงดูลูกคนเล็กซึ่งยังเรียนหนังสืออยู่

วันที่ 14 มกราคม 2552 สุวิชา ท่าค้อ วิศวกรในบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่ง ถูกเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศเข้าจับกุมขณะกำลังเดินซื้อของกับภรรยาในตลาดอำเภอเมืองนครพนมด้วยข้อหาเผยแพร่รูปและข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูงทางอินเทอร์เน็ต ก่อนจะถูกควบคุมตัวขึ้นเครื่องบินมาสอบปากคำที่กรุงเทพฯ ในคืนนั้น สองวันต่อมาสุวิชาถูกนำตัวไปฝากขังยังศาลอาญา กระบวนการทั้งหมดกระทำไปโดยที่ผู้ต้องหาไม่มีทนายให้คำปรึกษา ภายหลังถูกจับกุมเพียงไม่กี่วัน บริษัทที่สุวิชาทำงานอยู่ได้มีคำสั่งเลิกจ้างเขาและไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ โดยอ้างว่าการกระทำของเขาทำให้บริษัทเสื่อมเสียชื่อเสียง ระหว่างที่สุวิชาถูกคุมขัง ญาติของเขาพยายามยื่นขอประกันตัวหลายครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาตด้วยเหตุผลว่า สถาบันกษัตริย์เป็นที่เคารพเทิดทูนของประชาชนทั้งประเทศ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และกรณีนี้เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรง อัตราโทษสูง ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่บอกเขาว่า หากให้ความร่วมมือแล้วจะปล่อยตัวกลับบ้าน สุวิชาอยากกลับบ้าน เขาจึงยอมรับสารภาพตามที่เจ้าหน้าที่ต้องการ แม้จะต้องแต่งเรื่องราวไปตามพล็อตเรื่องขบวนการต่อต้านเบื้องสูงดังความเชื่อของเจ้าหน้าที่ก็ตาม ทว่าสุดท้ายในวันที่ 3 เมษายน 2552 ศาลก็ตัดสินจำคุกเขาจากความผิด 2 กระทง กระทงละ 10 ปี รวม 20 ปี และลดโทษให้คงเหลือโทษจำคุก 10 ปี สุวิชาถูกพรากจากภรรยา ซึ่งต้องดูแลลูกวัยเรียนอีก 3 คนเพียงลำพัง

วันที่ 19 กันยายน 2549 กองกำลังผูกริบบิ้นสีเหลืองเคลื่อนออกมานอกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของตน และก่อการ รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทว่าโดยมิคาดฝัน ปฏิบัติการทางการเมืองของพวกเขากลับส่งผลสะเทือนย้อนไปบ่อนเซาะทำลายตัวเองอย่างถึงราก ท่ามกลางการต่อสู้ขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วและกว้างขวางของบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีหมิ่นฯ พระมหากษัตริย์ฯ นับเป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่มีนัยสำคัญยิ่ง กล่าวให้ถึงที่สุด ปรากฏการณ์ ฟองสบู่คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลังเหตุการณ์ 19 กันยาฯ จนลุกลามกลายเป็น วิกฤตความจงรักภักดีด้อยคุณภาพนั้น มิได้เกิดจากเพียงปัญหาการตีความ ม. 112 หรือการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง หากยังเป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากความตึงเครียดครั้งใหญ่ภายในวัฒนธรรมการเมืองแบบไทย ๆ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปัญหาใจกลางที่สังคมไทยต้องเข้าเผชิญหน้าประการหนึ่ง จึงอยู่ที่ว่า ตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันประเพณีอันสืบทอด/ตกค้างมาจากระบอบเก่า ที่จะเหมาะสมสอดคล้องกับสังคมไทย ซึ่งย่อมไม่ย้อนไปเป็นเช่นเดิมก่อนหน้า 19 กันยาฯ อีกแล้วนั้น ควรเป็นเช่นไร สังคมไทยสมัยปลายรัชกาลจะเขยื้อนไปสู่ทิศทางใด ด้วยต้นทุนเท่าไร คงขึ้นอยู่กับระดับวุฒิภาวะและความกล้าหาญที่จะแสวงหาคำตอบดังกล่าว

อ่านต่อ >>