Sale 10%

ฟ้าเดียวกัน 6/4 : ทางแพร่งประชาธิปไตยไทย

Original price was: 200.00 บาท.Current price is: 180.00 บาท.

ของหมด

รหัส: 9789746130875 หมวดหมู่:

สารบัญ

บทบรรณาธิการ

จดหมายถึงกองบรรณาธิการ

คำขบวน

Neoliberalism ลัทธิเสรีนิยมใหม่

ภัควดี วีระภาสพงษ์

ปีกซ้ายไร้ปีก

ความจำเริญทางเศรษฐกิจประชาธิปไตย และภยาคติของชนชั้นสูง

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี

เงินเดินดิน

ปัจจัยพื้นฐาน ตลาดหุ้นฟันปลาและต้นทุนของผู้ถือหุ้น

สฤณี อาชวานันทกุล

ใต้ฟ้าเดียวกัน

เมืองไทย

หาเรื่องมาเล่า

Blood Diamond :สงครามกลางเมืองในแอฟริกากับคำสาปว่าด้วยทรัพยากรธรรมชาติ

รางวัล “วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์” ครั้งที่ 1 เพื่อความรู้ใหม่ว่าด้วย “คนจน”

ขบวนการเคลื่อนไหวมวลชนหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ : ว่าด้วยจิตสำนึกทางชนชั้นเสื้อแดงและกรอบโครงความคิดเสื้อเหลือง

ทัศนะวิพากษ์

ประชาธิปไตย การทำให้เป็นประชาธิปไตย และการออกจากประชาธิปไตยของประเทศไทย

โยชิฟูมิ ทามาดะ

นิทานสอนใจว่าด้วยความโง่ จน เจ็บ ของผู้เลือกตั้งชนบท : มายาคติและอคติของนักรัฐศาสตร์ไทย

ประจักษ์ ก้องกีรติ

สถาบันพระมหากษัตริย์กับนโยบายต่างประเทศในไทยในยุดสงครามเย็น

สิทธิพล เครือรัฐติกาล

ตามรอยพระยุคลบาท : การเสด็จพระราชดำเนินชนบทกับการต่อต้านคอมมิวนิสต์

ปราการ กลิ่นฟุ้ง

บทบรรณาธิการ

ทางแพร่งประชาธิปไตยไทย

การประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์แห่งชาติประจำปี 2551 เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ เริ่มต้นการบรรยายวิชาการหัวข้อแรกโดย ศ.ดร. โยชิฟูมิ ทามาดะ แห่งมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านไทยศึกษาที่ค้นคว้าเรื่องการเมืองไทยมายาวนานนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 2520 ผลงานมีชื่อของเขาเรื่อง อิทธิพลและอำนาจ: การเมืองไทยด้านที่ไม่เป็นทางการ” (1991 และแปลเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2543 โดยพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์) นับเป็นงานที่ผู้สนใจเรื่องระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยต้องอ่าน ขณะที่หนังสือเรื่อง Democratization in Thailand: Grappling with Realitiesระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย: เกาะติดกับความเป็นจริง (2003) ยังได้รับรางวัล Masayoshi Ohira Memorial เมื่อปี 2547

ในแง่หนึ่ง ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีแกมเศร้าใจ ที่การบรรยายเปิดการประชุม รัฐศาสตร์แห่งชาติไทยโดยทามาดะครั้งนั้น ว่าด้วยหัวข้อเรื่อง กระบวนการสร้างและทำลายประชาธิปไตยของการเมืองไทยซึ่งได้ ปรับปรุงมาเป็นบทความ ประชาธิปไตย การทำให้เป็นประชาธิปไตย และการออกจากประชาธิปไตยของประเทศไทยตีพิมพ์ใน ฟ้าเดียวกัน ฉบับนี้ เหลือเชื่อว่า ล่วงเลยมาถึง ณ ปัจจุบัน สังคมไทยยังต้องกลับมา ถกเถียงทำความเข้าใจกันอีกว่าประชาธิปไตยคืออะไร? การเลือกตั้งและหลักการที่ว่าประชาชนเป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตยเสมอกันสำคัญและจำเป็นอย่างไร? แล้วเราจะสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นในสังคมไทยได้อย่างไร?

อย่างไรก็ดี พลันที่เราได้รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีผู้นำกองทัพ สถาบันตุลาการ พันธมิตรเสื้อเหลือง องค์การนำภาคธุรกิจ ผู้ร่วมก่อการรัฐประหาร 19 กันยาฯ องคมนตรี และอาจจะรวมถึงสถาบันประเพณีที่ อยู่เหนือการเมืองคอยเป็นเสาค้ำจุนอำนาจอย่างเปิดเผย ก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาว่า ในสภาพการณ์ที่เป็นจริงของสังคมการเมืองไทย สิ่งที่นักวิชาการจากญี่ปุ่นนำเสนอต่อที่ประชุมของนักรัฐศาสตร์ไทยด้วยความห่วงใยนั้น เป็นวาระสำคัญที่เราควรรับฟัง ไตร่ตรอง และนำไปสนทนาถกเถียงกันต่อให้กว้างขวาง

ทามาดะชวนให้เราทบทวน พลังประชาธิปไตยในการเมืองไทย และตระหนักถึงการแก้ปัญหา พลังต่อต้านประชาธิปไตยให้มากแทนที่จะมุ่งแก้จุดอ่อนของพลังประชาธิปไตยเพียงด้านเดียว แน่นอนเขามิได้ปกป้องประชาธิปไตยแบบการเลือกตั้งว่าเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ แต่เราไม่ควรโจมตีการเลือกตั้งเพื่อปฏิเสธประชาธิปไตย ขณะเดียวกันก็เน้นย้ำว่า ฝ่ายที่ปฏิเสธประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่ประชาชนธรรมดา หากคือชนชั้นนำและปัญญาชน ผู้มักจะโยนบาปให้แก่ประชาชนธรรมดาว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย

สอดรับกับข้อเสนอของประจักษ์ ก้องกีรติ นักรัฐศาสตร์รุ่นใหม่จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่วิเคราะห์ถึงปัญหาของมายาคติและอคติของนักรัฐศาสตร์ไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากสิ่งที่เขาเรียกว่า นิทานสอนใจว่าด้วยความโง่ จน เจ็บ ของผู้เลือกตั้งชนบทอันมีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในชนบทกับ นักการเมืองเป็นผู้ร้ายที่สมคบคิดกันทำให้การเมืองไทยเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นและไร้ซึ่งศีลธรรม

ปฏิเสธไม่ได้ว่า โจทย์ที่ทามาดะและประจักษ์ตั้งไว้ย่อมถือเป็นปัญหาที่มีนัยสำคัญประการหนึ่งบนทางแพร่งประชาธิปไตยไทย ณ ขั้นตอนปัจจุบัน

บนทางแพร่งที่ฟากหนึ่ง การเมืองสีเหลืองซึ่งขับเคลื่อนโดยมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นกองหน้าภายใต้พระบรมโพธิสมภาร กำลังจะรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง และนำพาสังคมไทยหนีห่างจากระบอบประชาธิปไตยที่ อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลายออกไปสู่ การเมืองใหม่ที่มีรูปธรรมเฉพาะหน้าเป็นรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ทว่า ท่ามกลางภาวะวิสัยทางการเมืองที่ดูประหนึ่งว่า ชัยชนะของพันธมิตรฯ จะทำให้พลังต่อต้านประชาธิปไตยรุกไล่พลังประชาธิปไตยให้อ่อนกำลังลง ชัยชนะของพันธมิตรฯ นั้นเองกลับกัดกินตัวเองและได้สร้าง ผลสะเทือนมุมกลับบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตยให้เริ่มหยั่งรากลงสู่เนื้อดินของสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กล่าวคือ โดยไม่ตั้งใจ การเมืองสีเหลืองได้ปลูกให้มวลชนในระดับที่กว้างขวางตระหนักถึงพลังในการใช้อำนาจอธิปไตยของตนผ่านกลไกทางการเมืองทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็น ทางการ พร้อมกับตื่นขึ้นมาตั้งคำถามต่อชนชั้นนำ ปัญญาชน อนุรักษนิยม ระบบและสถาบันทางการเมืองเดิม แม้กระทั่งสถาบัน เหนือการเมืองที่ควบคุมครอบงำสังคมไทยอยู่อย่างถึงรากมากขึ้นตามลำดับ

ฉะนั้น สำหรับอีกแพร่งหนึ่งของประชาธิปไตยไทย การต่อสู้/ต่อรองเพื่อหันเหระบอบประชาธิปไตยไทยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป ก็แลเห็นประกายไฟแห่งความหวัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า พลังประชาธิปไตยจะสามารถจินตนาการถึง ความเป็นไปได้ภายใต้ ข้อจำกัดทั้งทางอัตวิสัยและภาวะวิสัย และสร้างเค้าโครงการทางการเมืองที่สอดคล้องเหมาะสม พร้อมกับปฏิบัติการจริงที่มีพลังและมีชีวิตชีวา ได้หรือไม่ เช่นไร

ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ พลวัตการเมืองไทยในระยะอันใกล้ จึงมิใช่ห้วงเวลาแห่งความหดหูสิ้นหวัง หากแต่เป็นห้วงยามอันน่า ระทึกโดยแท้

ทดลองอ่าน