สารบัญ
บทบรรณาธิการ
โลกราชาธิปไตย
จดหมายถึงกองบ.ก.
หาเรื่องมาเล่า
ดันแคน แมคคาร์โก : มองการเมืองไทยจากมุมมองแบบหลังอาณานิคม
ดาริน อินทร์เหมือน
คำขบวน
Squats/Squatting การยึดครองที่ดิน/อาคารสถานที่
ภัควดี วีระภาสพงษ์
มหาชนทัศนะ
“องค์กษัตริย์ไม่อาจถูกละเมิดได้” คืออะไร?
ปิยบุตร แสงกนกกุล
รายงานพิเศษ
จักรพรรดิกับการเมืองญี่ปุ่น
ดาริน อินทร์เหมือน
หน้าซ้ายในประวัติศาสตร์
เครือข่าย (เศรษฐกิจ) สถาบันกษัตริย์ : บทวิเคราะห์จาก พคท.
ธนาพล อิ๋วสกุล
บทวิเคราะห์ : ธาตุแท้จอมศักดินาใหญ่ (หรือการทำมาหากินของกษัตริย์)
ทัศนะวิพากษ์
ราชาธิปไตยสมัยใหม่ในมุมมองเปรียบเทียบระดับโลก
เบเนดิคท์ แอนเดอร์สัน เขียน เกษียร เตชะพีระ แปลและเรียบเรียง
The Lost World โลกหลงสำรวจราชาธิปไตยในโลกสมัยใหม่
เรณู ปัญญาดี
ระบอบสังคมการเมืองที่ขัดผืนการเปลี่ยนแปลงคืออันตรายที่แท้จริง
ธงชัย วินิจจะกูล
[ภาคผนวก] Hyper-royalism: Its Spells and Its Magic เวทย์มนตร์และความศักดิ์สิทธิ์ (หรือ คาถาและมายากล)
ธงชัย วินิจจะกูล
ธรรมชาติของการใช้อำนาจรัฐโดยกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยว่าด้วยการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน 2475
พุฒธิพงศ์ พงศ์เอนกกุล
ปิดฟ้าด้วยคำพิพากษา กับข้อหาหมิ่นที่ใครๆ เขาคุยกันหมดแล้ว
ธนาพล อิ๋วสกุล
ระบบความคิดเชิงคำสั่งในวาทกรรม “ขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง”
สามชาย ศรีสันต์
บทบรรณาธิการ
โลกราชาธิปไตย
เบเนดิคท์ แอนเดอร์สัน ได้ชี้ชวนให้เราลองสำรวจ “ราชาธิปไตยสมัยใหม่ในมุมมองเปรียบเทียบระดับโลก” โดยดูจากความเปลี่ยนแปลงในช่วง 1 ศตวรรษที่ผ่านมา จากยุคสมัยที่พื้นที่และผู้คนส่วนใหญ่ถูกปกครองโดยจักรพรรดิและกษัตริย์ ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ต่อด้วยสงครามเย็นมาสู่ยุคสมัยปัจจุบันที่ประเทศราชาธิปไตยได้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยของโลกใบนี้ ซึ่งมีลักษณะทั้งที่เป็นคุณและท้าทายต่อระบอบราชาธิปไตย
จากข้อมูลทางสถิติของขนาดพื้นที่ภูมิศาสตร์และจำนวนประชากรที่แอนเดอร์สันนำมาแสดงนั้น ชี้ให้เห็นด้วยว่า ราชาธิปไตยของไทยจัดอยู่อันดับต้น ๆ ของบรรดาประเทศชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ ในแง่หนึ่งทำให้ราชาธิปไตยในประเทศไทยค่อนข้างเป็นเรื่องน่าสนใจ
คำถามชวนคิดต่อก็คือว่า แล้วราชาธิปไตยไทยมองตัวเองและโลกอย่างไร อะไรคือวิธีเข้าใจโลกราชาธิปไตยของพวกเขา และอะไรคือทิศทางที่โลกราชาธิปไตยไทยกำลังจะเคลื่อนไป
เมื่อ 80 ปีที่แล้ว คณะราษฎรได้ประกาศไว้ตอนหนึ่งว่า
“…คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการ
ปกครองของแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธ หรือไม่ตอบภายในกำหนด โดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมา ก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น…”
วันรุ่งขึ้น พระปกเกล้ากลับสู่พระนคร เสมือนหนึ่งยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับ “สยามใหม่” ซึ่งกษัตริย์มีฐานะอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ มิใช่เป็นเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินอีกต่อไป
ความพยายามที่จะ “คว่ำปฏิวัติ-โค่นคณะราษฎร” ของฝ่ายนิยมเจ้าได้ดำเนินการเรื่อยมา กระทั่ง บรรลุเป้าหมายขั้นต้นในการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 และสามารถสถาปนาระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ดำรงอยู่คู่กับสถาบันกษัตริย์แบบใหม่ได้อย่างมั่นคงนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2500 เป็นต้นมา
ระบอบการเมืองกลายพันธุ์ที่หันเหไปจากเจตนารมณ์ของปฏิวัติ 2475 มิได้สถิตหยุดนิ่ง หากก็ปรับเปลี่ยนจนเถลิงอำนาจโดยมีสถาบันกษัตริย์อยู่ “เหนือการเมือง” (ในความหมายว่าอยู่ชั้นบนสุดของปิรามิดการเมืองไทย) อย่างที่มิอาจจะจินตนาการถึงได้ในยุคสยามเก่า
ด้านหนึ่ง นั่นดูจะเป็นความสำเร็จอันน่าประทับใจยิ่ง ตามความฝันของ “ชาวน้ำเงินแท้” ที่ต้องการฟื้นอำนาจของฝ่ายเจ้าให้อยู่เหนือประชาธิปไตยแบบรัฐสภา,
แต่อีกด้านหนึ่ง ความสำเร็จข้างต้นกลับส่งผลให้สถาบันและเครือข่ายที่เสวยอำนาจจากระบอบนี้อย่างฝังรากลึก ยึดมั่นไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดความตึงเครียดอันปะทุออกเป็นวิกฤติการเมืองตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทย จนเกิดการเคลื่อนไหวถวายคืนพระราชอำนาจ, สู้เพื่อในหลวง, ตุลาการภิวัตน์, รัฐประหารเพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, สงกรานต์เลือดปี 2552, การล้อมปราบกลางเมืองปี 2553 และจนเกิดปรากฏการณ์ “ตาสว่าง” ในวงกว้างเช่นปัจจุบัน
เรากำลังเป็นประจักษ์พยานต่อวิกฤติการณ์อันเกิดจากความพยายามฉุดรั้งความเปลี่ยนแปลง ทั้งในบริบทสังคมไทยและในบริบทสังคมโลก
เป็นความพยายามของโลกราชาธิปไตยที่ฉุดรั้งความเปลี่ยนแปลงของสังคมขั้นรากฐาน ซึ่งพลังทางการเมืองใหม่ ๆ กำลังต้องการออกจากอุ้งเท้าของอำมาตย์และใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท แล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง
เราคิดว่าผู้คนรายรอบสถาบันกษัตริย์จำนวนหนึ่งก็รับรู้ถึงการดำรงอยู่อย่างฝืน“ธรรมชาติ” ของราชาธิปไตยไทยเช่นทุกวันนี้ แต่การเป็นเครือข่ายของสถาบันกษัตริย์ (Network Monarchy) ที่มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้ความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงเพียงลำพังเป็นไปไม่ได้ (แม้จะแลเห็นวิกฤติและต้องการปรับตัว)
อาจจะเป็นความโชคดีของสถาบันกษัตริย์ไทยที่ 80 ปีที่แล้วยังไม่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจอื่นอย่างแน่นแฟ้นนอกจากคนใกล้ชิด ทำให้การปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงทำได้ด้วยการตัดสินใจของ กษัตริย์และกลุ่มเครือญาติเพียงลำพัง
ภายใต้เครือข่ายผลประโยชน์ที่แน่นหนาเช่นปัจจุบัน ประวัติศาสตร์เท่านั้นที่จะบอกได้ว่า สถาบันกษัตริย์ไทยอาจจะปรับตัวเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ และจะผ่านไปได้อย่างไร
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความพยายามฝืนความเปลี่ยนแปลงนั้นจะไม่นำไปสู่โศกนาฏกรรม ดังเช่นที่เกิดในที่อื่นๆ แต่มนุษย์ก็มักโหดร้ายและขลาดเขลาอยู่บ่อยครั้ง ดังที่ธงชัย วินิจจะกูล ได้กล่าวในบทความ “ระบอบสังคมการเมืองที่ขัดฝืนการเปลี่ยนแปลงคืออันตรายที่แท้จริง” ว่า
“มนุษย์ปกติมักสายตาสั้น มองโลกแคบ ยิ่งสังคมที่ขาดวุฒิภาวะทางปัญญายิ่งขลาดเขลาเกินกว่าจะมองเห็นความเป็นอนิจจังของสังคม กลัวการเปลี่ยนแปลง หลงยึดมั่นถือมั่นกับเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเชื่อว่าไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จนไม่สามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขา อคติ อวิชชาทำให้เขาคับแคบ ลุ่มหลงตัวเองว่าพิเศษกว่าใครอื่นจนสามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงไว้ได้”