สารบัญ
บทบรรณาธิการ
หลัง พคท. – หลัง ภปร.
หมู่บ้านโลก
กองทุนหมู่บ้านในชนบท การทดลองทำและ การปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจชุมชน
เนตรดาว เถาถวิล
ทุนนิยม
กำเนิดภูมิศาสตร์แรงงาน และอิทธิพลของนักภูมิศาสตร์สายแรดิคัล
เกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร
ขอบฟ้าความคิด
ข้อเสนอว่าด้วยต้นแบบความคิดคอมมิวนิสม์ของ Alain Badiou
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
รายงานพิเศษ
สถาบันกษัตริย์ในรัชกาลที่ 10
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
บทความปริทัศน์
กลางใจราษฎร์ : คู่มือสถาบันกษัตริย์ก่อนเปลี่ยนผ่านรัชสมัย
ปราการ กลิ่นฟุ้ง
หน้าซ้ายในประวัติศาสตร์
เอกสารการประชุมผู้ปฏิบัติงานในเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ไทย กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
รายงานการประชุมปัญหาในบริษัท และท่าทีของเรา
ทัศนะวิพากษ์
กษัตริย์ศึกษาในรัฐไทย : รัฐไทยกับการศึกษาสถาบันกษัตริย์
ศึกษาฝ่ายกษัตริย์นิยมจากสิ่งพิมพ์
ญัฐพล ใจจริง
ปัญหาเรื่องการศึกษาสถาบันกษัตริย์
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
“กษัตริย์ศึกษา” ในแวดวงกฎหมาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล
กษัตริย์ศึกษาในแนวทางสถาบันพระปกเกล้า
สติธร ธนานิธิโชติ
เนื้อแท้ของรัฐธรรมนูญฉบับหมกเม็ด
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
การรื้อฟื้นและการก่อร่างสร้างตัวของความเป็นคนเดือนตุลาฯ: จาก “นักศึกษาฝ่ายซ้ายผู้พ่ายแพ้” สู่ “คนเดือนตุลาฯ – นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แห่งทศวรรษ 2510”
กนกรัตน์ เลิศชูสกุล
การผงาดขึ้นและตกต่ำลงของกระแสความคิด “ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา” ในการเมืองไทย ยุค “หลัง พคท.”
ธิกานต์ ศรีนารา
บทบรรณาธิการ
หลัง พคท. – หลัง ภปร.
ภายหลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างนายทหารที่สูญเสียอำนาจไปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กับฝ่ายนิยมเจ้าที่พยายามโต้การปฏิวัติ 2475 และรื้อฟื้นความชอบธรรมกับอำนาจของกลุ่มตนภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในห้วงเวลาดังกล่าวพลังและอุดมการณ์ทางการเมือง 2 ขั้ว 2 แนวทางได้ปรากฏและเติบโตขึ้นในสังคมไทย
ขั้วหนึ่ง ฝ่ายนิยมเจ้าได้สถาปนาอุดมการณ์กษัตริย์นิยมและประชาธิปไตยแบบไทย ซึ่งจะเป็นหน่ออ่อนของ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ในปัจจุบัน พร้อมกับเริ่มถวายคืนพระราชอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2490 และ 2492 กระทั่งขาดการยึดโยงกับอำนาจอธิปไตยของประชาชน อาทิเช่น กำหนดให้มีองคมนตรีโดยการแต่งตั้งถือเป็นอำนาจ “ส่วนพระองค์” อย่างเด็ดขาด ถวายคืนพระราชทรัพย์ผ่านการแก้ไข พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2491 รวมทั้งในทางวัฒนธรรมก็เริ่มมีการรื้อฟื้นพระราชพิธีต่างๆ ที่เคยถูกยกเลิกไปภายหลังการปฏิวัติสยาม 2475 ให้กลับคืนมาใหม่ กระแสนี้ยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น หลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นการถาวร ผนวกกับยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจอเมริกาในยุคสงครามเย็น กระทั่งจอมพล ป. พิบูลสงครามถูกกำจัดออกไปและเปิดเข้าสู่ยุคเผด็จการทหารภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ในเวลาเดียวกันนั้น อีกขั้วหนึ่ง ทางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ก็เริ่มผลิตกรอบการวิเคราะห์สังคมไทยแบบ “ถึงเมืองขึ้น-กิ่งศักดินา” เพื่อชี้ทิศนำทาง การเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งจะกลายเป็นกระบวนทัศน์ที่ครอบงำปัญญาชนฝ่ายก้าวหน้าไทยต่อมาอีกยาวนาน
เมื่อถึงทศวรรษ 2510 ขณะที่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสถาบันกษัตริย์ ในแง่บทบาทการยุติสถานการณ์ การแต่งตั้งนายกฯ พระราชทาน และฐานะใหม่ที่อยู่บนฐานราชาชาตินิยมประชาธิปไตย การพังทลายลงอย่างฉับพลันของรัฐบาลทหารก็เปิดประตูไปสู่เสรีภาพและการเคลื่อนไหวเพื่อความเป็นธรรมทางสังคม ซึ่งความคิดแบบ พคท. จะสามารถเข้ามามีบทบาทนำในเวลาอันรวดเร็ว แล้วยิ่งพุ่งขึ้นสู่กระแสสูงหลังเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบและรัฐประหารเลือด 6 ตุลาคม 2519 ต่อด้วยการขึ้นมาของรัฐบาลขวาจัดของธานินทร์กรัยวิเชียร ดังเห็นได้จากความฮึกเหิมของพลพรรคปฏิวัติที่มั่นใจว่าจะกลับมา “ปักธงแดงกลางพระนคร” ในไม่ช้า
ทว่าจากนั้น ภายในเวลาไม่เกินครึ่งทศวรรษ ความฝันที่จะเห็นฟ้าสีทองผ่องอำไพก็กลับพังทลายลงสิ้นเมื่อในระดับสากลเกิดความขัดแย้งภายในค่ายสังคมนิยมเอง ในระดับประเทศ ขบวนการของ พคท. และความคิดขึ้นของพรรคถูกวิพากษ์และท้าทายจนต้องยุติบทบาทไปในที่สุด นักปฏิวัติแห่งกองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยกลายเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ทฤษฎีกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินากลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาช่วงหนึ่ง นักศึกษาปัญญาชนแยกย้ายกันลงจากป่าเขาเพื่อค้นหาความคิดและตัวตนใหม่อย่างกระจัดกระจาย กระทั่งเข้าสู่ยุคที่เรียกได้ว่า “หลัง พคท.” นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 2520
เมื่อหมดสิ้นซึ่งพลังและอุดมการณ์ที่ท้าทาย พร้อม ๆ กับที่สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมเติบโตอย่างก้าวกระโดด สนามรบในยุคสงครามเย็นกลายเป็นสนามการค้า ทหาร-ขุนศึกค่อยๆถูกกีดกันออกจากการเมืองและหมดพลังอย่างสิ้นเชิงหลังเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 ซึ่งประมุขของชาติเข้ามาแสดงบทบาทโดดเด่น อุดมการณ์กษัตริย์นิยมและฐานะของสถาบันกษัตริย์ก็เบ่งบานไปสู่คุณภาพใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่เหนือการเมืองในระบบรัฐสภาที่เติบโตขึ้นหลังยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ กลายเป็นศูนย์กลางของสังคมและศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยอย่างที่มิเคยปรากฏมาก่อนไม่ว่าในรัชสมัยใด
อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งและระบบรัฐสภาก็ค่อยๆ ปักหลักมั่นคงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังมีรัฐธรรมนูญ 2540 ที่มุ่งสร้างภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่เข้มแข็ง กระทั่งภาวะขั้วอำนาจเดี่ยวภายใต้พระบรมโพธิสมภารถูกท้าทายในยุคปลายรัชกาล นำไปสู่การก่อรัฐประหาร 19 กันยา เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กระนั้นก็ตาม ความตึงเครียดในระบบการเมืองกลับยิ่งเขม็งเกลียวขึ้น และผนวกดึงเอามวลชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้อุดมการณ์ กระแสความคิด และสถาบันการเมืองที่เคยมีฐานะครอบงำในช่วงราว 3 ทศวรรษที่ผ่านมาถูกตั้งคำถามและรื้อถอนอย่างยากที่จะจินตนาการถึงได้ในยุคก่อนรัฐประหาร 19 กันยา
ภาวการณ์เช่นนี้จะดำเนินไปสู่อะไร? คงไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจนแม่นยำ แต่สิ่งที่แน่นอนคือ เราไม่อาจจะย้อนกลับไปสู่สภาวะก่อน 19 กันยาได้อีกแล้ว หรือเรากำลังจะเป็นประจักษ์พยานแห่งยุค “หลัง พคท.-หลัง ภปร.” ในท้ายที่สุด ?