บันทึกเรื่องราวการเดินทางของหนังสือชุด รวมบทความ ธงชัย วินิจจะกูล

ธงชัย วินิจจะกูล ในฐานะนักประวัติศาสตร์คนสำคัญ มีผลงานเป็นหนังสือเล่มปรากฏออกมาเพียง 2 เล่ม คือ Siam Mapped: A History of the Geo-Body of a Nation (University of Hawaii Press, 1994) ขณะที่อีกเล่มต้องใช้เวลายาวนานกว่า 26 ปี คือหนังสือชื่อ Moments of Silence: The Unforgetting of the October 6, 1976, Massacre in Bangkok (University of Hawaii Press, 2020) และมีหนังสือแปลอีก 1 เล่ม ที่แปลจาก Siam Mapped คือ กำเนิดสยามจากแผนที่ : ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ  แปลโดย พวงทอง ภวัครพันธุ์, ไอดา อรุณวงศ์, พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์ (สำนักพิมพ์อ่าน สำนักพิมพ์คบไฟ, 2556)

แต่ในระหว่างนั้น ธงชัยได้ผลิตงานในรูปแบบบทความ บทปาฐกถา ที่มีรากฐานมาจากหนังสือ รวมทั้งต่อยอดความคิด ค้นคว้าเพิ่มเติม ออกมาจำนวนมาก ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 

บทความภาษาไทยจำนวนมากตีพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกต่างๆ ซึ่งไม่มีขายในท้องตลาด เช่น “ประวัติศาสตร์การสร้าง ‘ตัวตน’” ตีพิมพ์ใน อยู่เมืองไทย: รวมบทความทางสังคมการเมือง เพื่อเป็นเกียรติแด่ ศาสตราจารย์ เสน่ห์ จามริก ในโอกาสอายุครบ 60 ปี, บ.ก. สมบัติ จันทรวงศ์ และชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530); “ผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ไทย กรณีพระมหาธรรมราชา: ผู้ร้ายกลับใจ หรือถูกใส่ความโดย plot ของนักประวัติศาสตร์” ตีพิมพ์ใน ไทยคดีศึกษา: รวมบทความทางวิชาการเพื่อแสดงมุทิตาจิต อาจารย์ พันเอกหญิง คุณนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, บ.ก. สุนทรี อาสะไวย์ ม.ล. วัลย์วิภา บุรุษรัตนพันธุ์ กาญจนี ละอองศรี (คณะกรรมการจัดงานแสดงมุทิตาจิตครบรอบ 60 ปี อาจารย์ พันเอกหญิง คุณนิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, 2533)

ขณะที่อีกไม่น้อยตีพิมพ์ในนิตยสารและวารสารต่างๆ เช่น 

“ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม: จากยุคอาณานิคมอำพรางสู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฎุมพีไทยในปัจจุบัน” และ “เรื่องเล่าจากชายแดน: สิ่งแปลกปลอมต่อตรรกะภูมิศาสตร์ของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทย” ตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม

“ผีหลายตนที่ท่าพระจันทร์: การเมืองของภูมิสถานและความทรงจำ” ตีพิมพ์ในจุลสารหอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์

“เชื้อร้าย: เมื่อร่างกายทางการเมืองไทยติดเชื้อแดง” และ “กุ ลอบ ลอก แต่งแบบไพร่ๆ ความผิดของ ก.ศ.ร. กุหลาบ ที่ตัดสินโดยนักประวัติศาสตร์อำมาตย์” ตีพิมพ์ในวารสารอ่าน

“ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” และ “มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปัจจุบัน” ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกัน

นอกจากนี้ บางชิ้นเป็นเอกสารโรเนียว ไม่มีจำหน่าย ต้องเข้าห้องสมุดไปถ่ายเอกสาร เช่น “วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์แบบวงศาวิทยา” (2534) ขณะที่หลายชิ้นในภาษาอังกฤษก็ตีพิมพ์กระจัดกระจายในหนังสือต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นปัญหาในการเข้าถึงไม่น้อย

อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่คิดจะทำหนังสือรวมบทความของธงชัย วินิจจะกูล ก่อนสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวจะก่อตั้งเสียอีก แต่โครงการนี้ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใด

เมื่อเริ่มทำวารสารฟ้าเดียวกัน บทความแรกของธงชัย วินิจจะกูล ที่ตีพิมพ์ในวารสารฟ้าเดียวกันก็คือ ปาฐกถา 14 ตุลาคมประจำปี 2548 “ข้ามให้พ้นประชาธิปไตยแบบหลัง 14 ตุลา” ฉบับสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทย หรือเรียกกันลำลองว่า “ฉบับโค้ก”

หลังจากนั้นไม่นาน โครงการหนังสือชุดรวมบทความธงชัย วินิจจะกูล ก็เกิดขึ้น ด้วยความตั้งใจจะรวบรวมบทความที่กระจัดกระจาย จัดเนื้อหาเป็นหมวดหมู่ และจัดทำในรูปแบบหนังสือวิชาการที่มีบรรณานุกรม ดรรชนี รวมทั้งการแปลบทความภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย จนออกมาเป็นหนังสือทั้งหมด 7 เล่ม 

ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง: ว่าด้วยประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ (2556)

เป็นหนังสือเล่มแรกในหนังสือชุดนี้ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์การเมืองโดยเฉพาะหลังผ่านเหตุการณ์รัฐประหาร  19 กันยา 2549 โดยจะเป็นเรื่องการเมืองไทยร่วมสมัย ส่วนหนึ่งของคำนำสำนักพิมพ์ได้พูดถึงหนังสือเล่มนี้ว่า

ในสายธารประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันยาวนาน ธงชัยวิเคราะห์ให้เราเห็นการต่อสู้ต่อรองของผู้เล่นมากหน้าหลายตา ทั้งการปะทะกันระหว่างสถาบันกษัตริย์และฝ่ายนิยมเจ้า กับคณะราษฎรและผู้เอาใจช่วยระบอบใหม่ที่มีจุดยืนร่วมกันว่า “อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” เพื่อกำหนดสถานะและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ การปะทะกันระหว่างกองทัพกับฝ่ายเสรีนิยมที่จบลงด้วยชัยชนะอย่างไม่กระโตกกระตากของสถาบันกษัตริย์ รวมถึงความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองและกลุ่มทุน กับขบวนการพลเมืองซึ่งหันไปเป็นพันธมิตรกับฝ่ายนิยมเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้เล่นที่ธงชัยวิเคราะห์แจกแจงบทบาทไว้อย่างละเอียดและลุ่มลึกที่สุดก็คือสถาบันกษัตริย์ที่คนส่วนใหญ่มองว่ามีสถานะ “เหนือการเมือง”

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2556 และออกมาไล่เลี่ยกับ Siam Mapped ฉบับแปลคือ กำเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ (สำนักพิมพ์อ่าน สำนักพิมพ์คบไฟ, 2556)

หลังตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ไม่นาน ปีต่อมาก็เกิดรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 หนังสือเล่มนี้จะได้รับการพูดถึงอีกครั้ง (พร้อมกับเล่มอื่นๆ) เมื่อมีการชุมนุมของเยาวชนในปี 2563 ซึ่งมีการชูหนังสือเล่มนี้ในการชุมนุมด้วย

6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง: ว่าด้วย 6 ตุลา 2519 (2558)

นี่คือหนังสือเล่มที่ 2 ของหนังสือชุดรวมบทความของธงชัย  ด้วยความที่เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 คือเรื่องที่ธงชัยเกาะติดมาตลอดและได้ศึกษาหลายแง่มุม จนเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับหนังสือ Moments of Silence (2020) 

ขณะที่เหตุการณ์ 6 ตุลาเริ่มเป็นที่ไถ่ถามอยากเรียนรู้กันมากขึ้นในบริบทการเมืองหลังรัฐประหาร 2557

ในปี 2558 นั้น กองบรรณาธิการไม่ได้คาดคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นหนังสือ “ขายดี” จนต้องนำมาพิมพ์ใหม่ในระยะเวลาอันใกล้ ทว่าในปีถัดมาคือปี 2559 มีการจัดงานครบรอบ 40 ปี 6 ตุลา ซึ่งปลุกความสนใจของสาธารณชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้หันมาสนใจเหตุการณ์ 6 ตุลาอีกครั้ง หนังสือเล่มนี้ถูกถามหาและกลายเป็นหนังสือขายดีติดอันดับของร้านหนังสือบางร้าน

ต่อมาในปี 2560 มีโครงการบันทึก 6 ตุลา (Documentation of Oct 6) เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปิดพื้นที่ใหม่ผ่านการจัดทำเว็บไซต์ในลักษณะแหล่งข้อมูลออนไลน์ (Online archives) ที่มุ่งเก็บรวบรวมรักษาและจัดระบบข้อมูลที่ยังกระจัดกระจายเพื่อให้ผู้สนใจเข้าถึงข้อมูลได้สะดวกยิ่งขึ้น ในปีนั้นเองคณะทำงานโครงการบันทึก 6 ตุลาก็ได้ค้นพบ “ประตูแดง” ซึ่งเป็นวัตถุพยานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่จังหวัดนครปฐม อันนำมาสู่การจัดทำหนังสั้นเรื่อง “สองพี่น้อง” ที่นำเสนอความทรงจำของครอบครัวผู้สูญเสีย ทั้งหมดนี้ทำให้ความสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ

จนเมื่อปี 2562 มีการเปิดตัวโครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลา (October 6 Museum Project) โดยนำวัตถุจัดแสดงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 6 ตุลามาเปิดให้สาธารณชนได้รับชมเมื่อวันที่5-6 ตุลาคม 2562 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีคนรุ่นหนุ่มสาวจำนวนมากเดินทางมาชมวัตถุจัดแสดงและนิทรรศการในงานดังกล่าว พร้อมกันนั้นสื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็ทำบทสัมภาษณ์และสารคดีเรื่อง 6 ตุลาเผยแพร่ผ่านหลากหลายช่องทางการสื่อสาร

แม้ยังไม่อาจบอกได้ว่าพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลาจะจัดตั้งได้สำเร็จหรือไม่ แต่หนังสือ 6 ตุลา ลืมไม่ได้ จำไม่ลง ฉบับพิมพ์ครั้งแรกก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ในการพิมพ์ครั้งที่ 2 นี้มีการเพิ่มเติม 2 บทความเข้ามา ได้แก่ บทที่ 3 “ตามหาลูก: จดจำและหวังด้วยความเงียบ” และบทที่ 4 “การทำร้ายศพเมื่อ 6 ตุลา: ใคร อย่างไร ทำไม” รวมถึง 1 ปาฐกถาในภาคผนวก 4 คือ “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย: ปาฐกถา 40 ปี 6 ตุลา 2519”

โฉมหน้าราชาชาตินิยม: ว่าด้วยประวัติศาสตร์ไทย (2559) 

ผลงานลำดับที่ 3 ตีพิมพ์ในปี 2559 ซึ่งเป็นปีครบ 40 ปี 6 ตุลา ความคิดเรื่อง ราชาชาตินิยม ซึ่งธงชัยนำเสนอตั้งแต่ปี 2544 มีคนนำไปประยุกต์ใช้ไม่น้อย

โฉมหน้าราชาชาตินิยม คือการรวมบทความว่าด้วยประวัติศาสตร์ของธงชัย วินิจจะกูล ที่มีประเด็นแวดล้อมแนวคิดเรื่องราชาชาตินิยมเก่า/ใหม่ หากนับจากปีที่นำเสนอบทความแรกคือ “ประวัติศาสตร์การสร้าง ‘ตัวตน’” (2530) จนถึงบทความล่าสุด “ความรู้เกี่ยวกับตัวตนของไทยภายใต้โลกคับแคบแบบเจ้ากรุงเทพฯ” (2557) น่าทึ่งว่านับเป็นเวลาเกือบ 30 ปีที่ธงชัยครุ่นคิดวิเคราะห์ถึงปริมณฑลต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม หากไม่สำคัญ มีหรือคนคนหนึ่งจะใช้เวลาถึงครึ่งค่อนชีวิตในการพยายามตีแผ่แบมันให้เห็นกันจะๆ กล่าวสำหรับเรา ฟ้าเดียวกัน หวังว่าการเผยให้เห็น “โฉมหน้า” ของ “ราชาชาตินิยม” ผ่านหนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้สังคมไทยได้เปิดมุมมองใหม่ๆ ที่ต่างจากมุมมองของเจ้ากรุงเทพฯ ซึ่งครอบงำเรามานานนับศตวรรษ และมุมมองใหม่ๆ นี้อาจมีที่ว่างให้กับประวัติศาสตร์ของประชาชนไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (ที่ข้ามพ้นกรอบอุดมการณ์แบบชาตินิยมที่มีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง) กระทั่งประวัติศาสตร์การสร้างชาติที่ถือกำเนิดจากประชาชนจริงๆ ต่อไปในอนาคต

คนไทย/คนอื่น: ว่าด้วยคนอื่นของความเป็นไทย (2560) 

หนังสือเล่มนี้มีบทความที่แปลจากบทความภาษาอังกฤษ “The Others Within: Travel and Ethno-Spatial Differentiation of Siamese Subjects 1885-1910” ซึ่งถูกอ้างอิงมากที่สุดชิ้นหนึ่งของธงชัย มาเป็นบทความภาษาไทยในชื่อ “‘คนอื่น’ ในผืนดินตน: การเดินทางกับการจำแนกชาติพันธุ์ของราษฎรสยามตามถิ่นฐาน ระหว่าง พ.ศ. 2428-2453” และมีบทความ “ภาวะอย่างไรหนอที่เรียกว่าศิวิไลซ์: เมื่อชนชั้นนำสยามสมัยรัชกาลที่ 5 แสวงหาสถานะของตนเองผ่านการเดินทางและพิพิธภัณฑ์ทั้งในและนอกประเทศ” ที่เหมือนข้อเขียนที่ต่อกัน

อาจมองได้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นส่วนขยายหรือส่วนเติมเต็มของหนังสือเล่มสำคัญของผู้เขียนคือ Siam Mapped (1994) อีกด้วย โดยเฉพาะภาคที่ 1 ซึ่งทำให้เรามีความเข้าใจอันกระจ่างชัดขึ้นว่าในระยะเปลี่ยนผ่านจากรัฐราชาธิราชมาเป็นรัฐชาติแบบใหม่ นอกจากแผนที่และความรู้ภูมิศาสตร์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสร้างภูมิกายาของสยามแล้ว วิทยาการอีกอย่างคือชาติพันธุ์นิพนธ์และวาทกรรมศิวิไลซ์นั่นเองที่ชนชั้นนำฉวยใช้ทั้งเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวเองคือใครในระเบียบโลกใหม่และเพื่อจำแนกแยกแยะจัดวางช่วงชั้นสถานะของกลุ่มชนต่างๆ เสียใหม่ในภูมิกายาที่เพิ่งสร้าง

ส่วนภาค 2 เมื่อผู้เขียนขยับไปอภิปรายถึงปัตตานี ในฐานะคนอื่นของตัวตนไทยที่เป็นปัญหายืดเยื้อเรื้อรังถึงปัจจุบัน คำอธิบายของผู้เขียนเกี่ยวกับตรรกะทางภูมิศาสตร์ที่ผิดฝาผิดตัวในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ซึ่งทำให้ประวัติศาสตร์ปาตานีแปลกแยกไม่ลงรอยหรือจำเป็นต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์สวนทางของประวัติศาสตร์แห่งชาตินั้น ในแง่หนึ่งก็มองได้ว่าเป็นการต่อยอดทางความคิดของผู้เขียนจาก Siam Mapped นั่นเอง

หลังจากเข้าใจการก่อร่างสร้างตัวตน/คนอื่นในภาค 1 และพิจารณาก้อนกรวดในรองเท้าในภาค 2 แล้ว ผู้เขียนก็ชักชวนให้เราขยายกรอบการมองไปยังเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาค 3 กับภาค 4 จึงเป็นทั้งการมองออกไปข้างนอกและเป็นบทสรุปส่งท้าย เช่นเคย มุมมองของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นมรดกความรู้แบบจักรวรรดิของอธิราชสยาม สำหรับผู้สนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สองภาคนี้ ถือว่ามีความสำคัญเพราะผู้เขียนได้อภิปรายเกี่ยวกับภูมิทัศน์และสาแหรกของความรู้เกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาอย่างกว้างขวางและค่อนข้างครอบคลุม รวมถึงเสนอว่าจะข้ามให้พ้นประวัติศาสตร์อันตรายหรือประวัติศาสตร์แห่งชาติที่ครอบงำชีวิตเราได้ ต้องสร้างวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์แบบวิพากษ์วิจารณ์ที่อนุญาตให้ประวัติศาสตร์ทุกชนิดทุกแบบแบกันออกมาได้ ถกเถียงโต้แย้งกันได้ อาเซียนจึงจะเป็นประชาคมที่เข้มแข็งเปิดกว้าง มีความเป็นมนุษย์ มิใช่ประชาคมทางธุรกิจการลงทุนอย่างเดียว

ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย: ว่าด้วยประวัติศาสตร์นอกขนบและวิธีวิทยาทางเลือก  

แม้ทุกเล่มของธงชัยจะถูกนำไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ระดับอุดมศึกษาในหลายมหาวิทยาลัย ทว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นเล่มที่เข้าใกล้คำว่า “ตำราเรียน” มากที่สุด

บทความต่างๆ ที่ถูกคัดสรรและจัดหมวดหมู่รวมอยู่ในเล่มนี้ ดูราวกับว่าเขียนขึ้นอย่างกระจัดกระจายในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา และเผยแพร่ครั้งแรกในลักษณะต่างกรรมต่างวาระ (3 ชิ้นเขียนในทศวรรษ 2530, 4 ชิ้นเขียนในทศวรรษ 2540, 2 ชิ้นเขียนในทศวรรษ 2550, และ 1 ชิ้นรวมถึงบทนำเขียนในปี 2561 ในวาระรวมเล่มครั้งนี้) กระนั้นก็ตาม เมื่อมารวมอยู่ด้วยกัน กลับสะท้อนชัดเจนถึงสมาธิ ความมุ่งมั่นไม่สั่นคลอนของผู้เขียนที่จะผลักดันความรู้ประวัติศาสตร์ไทยให้ออกนอกขนบเดิมๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ไปพ้นจากประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยม

สำหรับนักอ่านทั่วไป การอ่านหนังสือเล่มนี้อาจคล้ายได้กลับไปลงเรียนวิชาประวัติศาสตร์กันใหม่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการเรียนรู้แบบไม่จำเป็นต้องท่องจำอะไรเลย ทว่าถูกท้าทายให้หัดคิดและตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาสำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้จะช่วยปูพื้นฐานความรู้ประวัติศาสตร์ในระดับมูลฐาน ให้ภาพรวมของกระแสความเคลื่อนไหวของวิทยาการประวัติศาสตร์ไทยที่พยายามออกนอกขนบ เสนอแนะทฤษฎีวิพากษ์ทั้ง post-national, postmodern, post-colonial history และทฤษฎีที่ให้มุมมองเชิงพื้นที่ รวมไปถึงตัวอย่างการปรับใช้ทฤษฎีต่างๆ เหล่านี้ในการวิเคราะห์วิพากษ์อย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อสยามพลิกผัน: ว่าด้วยกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่ (2562) 

หนังสือเล่มนี้นอกจากมีหลายบทความที่อ่านสนุกและออกจะแหวกแนวจากหัวข้อที่ธงชัยให้ความสนใจ ยังมีความพิเศษห้ามพลาดอยู่ตรงบทที่ 1 “กรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคสมัยใหม่ (เค้าโครงสังเขป)” ซึ่งธงชัยเขียนขึ้นใหม่และตีพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรก

บทความนี้เผยให้เห็นความมุ่งหมายของผู้เขียนที่ต้องการถอดรื้อ “พิมพ์เขียว” ของการก่อร่างสร้างขอบฟ้ากะลาแลนด์ หรือก็คือทลายกรอบมโนทัศน์พื้นฐานของสยามยุคใหม่นั่นเอง อันที่จริงบทนี้สามารถอ่านในฐานะบทนำของหนังสือทั้งชุดของธงชัยที่ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ซึ่งจะมีทั้งหมด 7 เล่ม เพราะได้แสดงให้เห็นเค้าโครงความคิดชุดใหญ่ที่ครอบคลุมความสนใจทั้งหมดในชีวิตทางวิชาการของตัวธงชัยเอง อันมีจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลา 2519

กรอบมโนทัศน์พื้นฐาน (foundational mentality) นี้ ธงชัยแบ่งเป็น 7 ด้าน ได้แก่ 1) ภูมิกายา 2) ประวัติศาสตร์อย่างใหม่ 3) พุทธใหม่-ไสย-วิทย์ 4) คนไทย/คนอื่น 5) สังคมและระเบียบสังคม 6) เพศสภาวะ 7) สยามในสากลโลก ซึ่งอาจเปรียบได้กับ “ขอบฟ้าของกะลาสามชั้น” ที่ครอบงำความรู้สึกนึกคิดของคนไทยในปัจจุบัน ชั้นแรก เป็นชั้นในสุด คือสามเสาหลักของอัตลักษณ์ตัวตนไทยอันได้แก่ ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ชั้นที่สอง คือสังคมไทยที่มีการแบ่งชั้นสูงต่ำตามอินทรียภาพแบบพุทธ และชั้นที่สาม คือสยาม/ไทยในความสัมพันธ์กับระเบียบโลก

สำหรับธงชัยแล้ว  หนังสือเล่มนี้แตกต่างไปจากหนังสือรวมบทความเล่มอื่นๆ ดังที่เจ้าตัวได้เขียนไว้ในคำนำว่า“บทความในเล่มนี้ล้วนเป็นงานที่ผู้เขียนทำอย่างเพลิดเพลิน ต่างจากการเขียนเพื่อเผชิญหน้าสะสางความจริงที่แสนเจ็บปวดอย่างกรณี 6 ตุลา หรือเขียนเรื่องการเมืองอันน่าหดหู่แถมยังอาจพลาดโดนข้อหาเหลวไหลได้อีก ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผันสู่ยุคสมัยใหม่ โดยเฉพาะความต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่องของภูมิปัญญาต่างยุคสมัยกัน เป็นปริศนาซับซ้อนพิสดารที่ชวนให้ขบคิดอย่างไม่มีสิ้นสุด ความเพลิดเพลินทางปัญญามาจากการได้จมดิ่งลงไปคิดกับปริศนามากมาย ต้องใช้ทั้งจินตนาการและความคิดวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อน

นอกจากนั้นยังมี “บททดลองเสนอ: อภิสิทธิ์ปลอดความผิด (Impunity) และความเข้าใจสิทธิมนุษยชนในนิติรัฐแบบไทย” ที่นำเสนอครั้งแรกในงาน 40 ปี 6 ตุลา (2559) ก่อนจะพัฒนาต่อมาเป็นปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในปี 2563

รัฐราชาชาติ: ว่าด้วยรัฐไทย

ปาฐกถาป๋วยประจำปี 2563 และเกิดท่ามกลางปรากฏการณ์ลุกขึ้นสู้ของเยาวชนคนหนุ่มสาวและการตื่นตัวทางภูมิปัญญา หนังสือการเมืองไทยได้รับการอ่านอย่างกว้างขวางอีกครั้ง ภาพผู้ชุมนุมชูหนังสือเกี่ยวกับการเมืองกลายเป็นเรื่องปกติ พร้อมๆ กับเกิดแฮชแท็ก #ประวัติศาสตร์ปลดแอก ที่มีนัยถึงความสนใจอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ทางเลือกเพื่อออกจากแนวคิดแบบราชาชาตินิยม หนังสือ รัฐราชาชาติ: ว่าด้วยรัฐไทย กำเนิดขึ้นหลังเหตุการณ์ดังกล่าว คำนำสำนักพิมพ์กล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ว่า

หนังสือเล่มนี้ออกมาในเวลาที่ประจวบเหมาะสำหรับขบวนการเยาวชนปลดแอกที่ประกาศชูธงว่า “ศักดินาจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ” พร้อมกับติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ว่า #ให้มันจบที่รุ่นเรา เนื่องจากบทความในเล่มนี้จะอธิบายถึงกลไกการทำงานของระบอบประชาธิปไตยแบบกษัตริย์นิยมภายใต้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าช่วยวางรากฐานอย่างไรในประวัติศาสตร์ พร้อมยกตัวอย่างรูปธรรมว่าสถาบันกษัตริย์และเครือข่ายโหนเจ้าใช้กลไกอะไรบ้างในการแทรกแซง มีอิทธิพล บงการการบริหารงานของรัฐ  ทั้งผ่านรัฐสภาภายใต้การชี้นำของกษัตริย์ การแต่งตั้งองคมนตรี ผบ.ทบ. ผู้พิพากษาข้าราชการระดับสูง องค์กรอิสระ จนมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญและใช้ภาษีประชาชนโดยไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด  พูดง่ายๆ ว่าธงชัยแจกแจงให้เห็นว่ามีอะไรบ้างที่ต้องสะสาง  ขุดรากถอนโคน สุดท้ายแล้วภารกิจเหล่านั้นอาจจะกินเวลานานกว่าที่คาด ต้องอาศัยความมุ่งมั่นมากกว่าที่คิด และไม่อาจจบที่รุ่นเรา

มนุษยภาพ: รวมบทความเชิงวิพากษ์เพื่อเป็นเกียรติแก่ ธงชัย วินิจจะกูล  

ธนาพล ลิ่มอภิชาต และพวงทอง ภวัครพันธุ์ บรรณาธิการ

หลังจากตีพิมพ์หนังสือรวมบทความธงชัย วินิจจะกูล มา 7 เล่มแล้ว แม้จะยังเหลือบทความอื่นๆ อีก แต่กองบ.ก. คิดว่ายังไม่เพียงพอที่จะรวมเป็นเล่ม ในระหว่างนั้นก็คิดว่าควรจะทำหนังสือที่เผยให้เห็นถึงผลสะเทือนจากงานวิชาการของธงชัย ตอนแรกคิดแต่เพียงว่าจะรวบรวมงานเขียนของบรรดาลูกศิษย์ปริญญาเอกของธงชัย ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ ในภาษาอังกฤษ นำมาแปลและตีพิมพ์เป็นภาษไทย แต่เมื่อเริ่มทำไปแล้วก็มีบทความจากมิตรสหายทางปัญญาของธงชัยจำนวนไม่น้อยส่งมาให้พิจารณา จึงเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งประกอบด้วยบทความ 10 ชิ้น

บทความทั้ง 10 ชิ้นนี้คือการคิดต่อยอดจากงานของธงชัย โดยนักวิชาการรุ่นหลังทั้งที่เป็นเพื่อนมิตรและลูกศิษย์ โดยหยิบยืมแนวคิดชาตินิยม/ราชาชาตินิยม/ความเป็นไทย/ความเป็นอื่น/ประวัติศาสตร์นิพนธ์/ความเป็นสมัยใหม่/ความยุติธรรม/ประวัติศาสตร์กฎหมาย/ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์อยู่เหนือการเมือง/วัฒนธรรมศึกษาเชิงวิพากษ์/การลอยนวลพ้นผิด ฯลฯ มาใช้ในงานศึกษาความย้อนแย้งของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย, งานศึกษาตำรวจตระเวนชายแดนและกองทัพกับอุดมการณ์ราชาชาตินิยม, งานศึกษามโนทัศน์ของชนชั้นนำสยามผ่านวรรณคดีสโมสร ฯลฯ, งานศึกษากรณีปราสาทพระวิหารกับเรื่องเล่าของความอัปยศแห่งชาติ, งานศึกษาจินตกรรมลาวในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย และงานศึกษาการสร้างเครือข่ายความรู้ทางศาสนาอิสลามผ่านครอบครัวมุสลิมพลัดถิ่นอันถือเป็นการต่อต้านของสามัญชนที่ถูกลบจากประวัติศาสตร์ชาติสยาม เป็นต้น